วิตามินอี (Vitamin E ) จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งถูกเก็บสะสมไว้ในตับ เนื่อเยื่อไขมัน เลือด หัวใจ กล้ามเนื้อ มดลูก อัณฑะ ต่อมใต้สมอง และต่อมหมวกใต โดยมีหน่วยวัดเป็น IU โดยวิตามินอีนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มซึ่งก็ได้แก่ โทโคฟีรอลและโทโคไทรอีนอล ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวนี้จะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบซึ่งได้แก่ แอลฟา บีตา แกมมา และเดลตา ซึ่งขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่นั้นอยู่ที่ประมาณ 8-10 IU โดยปริมาณร้อยละ 70% ของขนาดที่แนะนำให้รับประทานั้นจะถูกขับออกทางอุจจาระเป็นส่วนใหญ่
วิตามิอีนั้นจะแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมันชนิดอื่นๆ เพราะร่างกายจะเก็บสะสมไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นคล้ายๆกับวิตามินบีและวิตามินซี โดยหน้าที่สำคัญของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่มีความสำคัญออกฤทธิ์เป็นยาขยายหลอดลมและเป็ฯยาช่วยต้านการแข็งตัวของเลือก สำหรับการรับประทานวิตามินอีเสริมอาหารนั้นควรมีส่วนผสมของซีลีเนียมประมาณ 25 ไมโครกรีมต่อวิตามินอี 200 IU ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของวิตามินอีทำงานได้เป็นอย่างดี
แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ จมูกข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลโฮลเกรน แป้งทำขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง น้ำมันพืชต่างๆ เมล็ดมะม่วงหิมพาน เมล็ดทานตะวัน กะหล่ำต่างๆ พิชผักใบเขียว ส่วนเนื้อของอะโวคาโด และปวยเล้ง เป็นต้น โดยศัตรูของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ ความร้อน ออกซิเจน กระบวนการแปรรูปอาหาร ธาตุเหล็ก คลอรีน อุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ ช่วยในการชะลอวัยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ช่วยปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศ ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับวิตามินเอ เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคให้เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ช่วยป้องกันและสลายลิ่มเลือด ช่วยลดโอกาศเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ป้องกันแผลเป็นหนานูน ทั้งภายนอดและภายใน เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วยิ่งขึ้น ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์ อัมพาต และลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ได้
เพิ่มเติม : www.greenerald.com/วิตามิน/วิตามินอี
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น