พริก (Chili) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens L.มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ และมีการนำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นแล้ว ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคปไซซิน" ซึ่งบริเวณที่เผ็ดมากที่สุดก็คือเยื่อแกนกลางสีขาว ส่วนเปลือกและเมล็ดนั้นจะมีสารนี้น้อย ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าส่วนเมล็ด เปลือกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด โดยเราสามารถเรียงลำดับความเผ็ดของพริกจากมากไปหาน้อยได้ คือ พริกขี้หนู > พริกเหลือง > พริกชี้ฟ้า > พริกหยวก > พริกหวาน
หน่วยวัดความเผ็ดเดิมคือ สโควิลล์ ซึ่งพริกขี้หนูสวนบ้านเราจะมีค่าอยู่ที่ 50,000-100,000 สโควิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร วัดค่าได้ถึง 350,000 + หากต้องการลดความเผ็ดของพริกให้กินอาหารที่มีไขมันหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะการดื่มน้ำจะมีผลเพียงแค่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดยังคงอยู่
สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร และสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่มักจะสำลักง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานและควรจะระวังพริกป่นตามร้านอาหาร พริกซอง ซึ่งอาจจะมีสารอะฟลอทอกซินปนอยู่ ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา หากร่างกายได้รับอย่างต่อเนื่องอาจจะเกิดการสะสมจนกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ดังนั้นควรเลือกรับประทานพริกป่นที่สะอาด
ประโยชน์ของพริก นั้นมีมากมายเพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งในพริก 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 144 มิลลิกรัมเลยทีเดียว ! โดยประโยชน์ต่างๆมีดังนี้ เช่น ช่วยให้อารมณ์ดี ช่วยการบำรุงสายตา กระตุ้นให้เจริญอาหาร ช่วยบรรเทาอาการไอ ช่วยให้ร่างกายได้ดีท็อกซ์ เพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยในการสลายลิ่มเลือด ป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้ เป็นต้น