เว็บไซต์สำหรับคนรักสุขภาพ กับวิธีการดูแลสุขภาพ เรื่องของความสวยความงาม และทิปต่างๆ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิตามิน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิตามิน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

วิตามินบี1 (ไทอะมีน) ประโยชน์ของวิตามินบี1 ที่น่าสนใจ !!



วิตามินบี1 (Vitamin B1) หรืออีกชื่อที่เรียกกันว่า ไทอะมีน โดยมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า วิตามินเสริมขวัญและกำลังใจ โดยจัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะเก็บสะสมไว้ได้ หากมีอยู่ในร่างกายปริมาณมากเกินไปก็จะถูกขับออกมา ดังนั้นวิตามินชนิดนี้จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับอยู่ทุกวัน โดยแหล่งอาหารที่พบวิตามินชนิดนี้ก็ได้แก่ ผักต่างๆ นม ไข่แดง ปลา เนื้อสัตว์ โฮลวีท ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง รำข้าว เปลือกข้าว บริเวอร์ยีสต์ เป็นต้น

วิตามินบีนั้นมีมากกว่า 10 สิบชนิดและแต่ละตัวก็จะทำงานส่งเสริมซึ่งกันและกัน การรับประทานร่วมกันนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทานแบบเดี่ยวๆ โดยคุณควรได้รับประทานวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 ในปริมาณเท่ากันจะมีประสิทธิภาพต่อร่างกายสูงสุด โดยปริมาณที่แนะนำให้รับประต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ก็คือประมาณวันละ 1 - 1.5 มิลลิกรัม และสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรรับประทานวันละประมาณ 1.5 - 1.6 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของวิตามินบี1 นั้นก็ได้แก่ช่วยรักษาโรคเหน็บชา ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยบำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยทำให้หัวใจทำงานเป็นปกติ มีส่วนช่วยบำรุงสมอง สติปัญหาให้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน ช่วยรักษาโรคงูสวัด ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวกหลังผ่าตัดทำฟัน และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกแป้งได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสหวานจัด ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ร่างกายจะต้องการวิตามินชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร คุณควรได้รับวิตามินชนิดนี้มากกว่าปกติ หรือผู้ที่รับประทานยาลดกรดในกระเพาะหลังอาหารเป็นประจำ หรือผู้ที่อยู่ในสภาวะเครียด เจ็บป่วย มีอาการบาดเจ็บหลังผ่าตัดคุณควรรับประทานวิตามินบี1 เพิ่มมากขึ้น

เพิ่มเติมที่ : www.greenerald.com/วิตามิน/วิตามินบี1

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

วิตามินเอ (Vitamin A) ประโยชน์และโทษของวิตามินเอที่ควรรู้ !!


วิตามินเอ (Vitamin A) จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เพราะต้องใช้ไขมันและแร่ธาตุมาช่วยในการดูดซึมเจ้าสู่ร่างกาย ปกติแล้วร่างกายของคนเรานั้นจะเก็บสะสมวิตามินเอได้อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารเสริมทดแทนแต่อย่างใด โดยวิตามินเอนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ วิตามินเอแบบสำเร็จที่เรามักเรียกกันว่า เรตินอล ซึ่งจะพบมากในอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ และอีกชนิดหนึ่งก็ได้แก่ โปรวิตามินเอหรือแคโรทีน ซึ่งชนิดนี้เราจะพบได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยวิตามินเอนั้นโดยปกติแล้วจะมีหน่วยวัดปริมาณเป็น IU ซึ่งเป็นหน่วยวัดที่นิยมใช้กันมากที่สุด

การรับประทานวิตามินเอนั้นในปริมาณ 5,000 IU ต่อวันถือเป็นขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน เนื่องจากยังไม่ได้รับการจัดเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็ฯต่อร่างกายอย่างเป็นทางการ และโดยทั่วไปแล้ววิตามินเอแบบเบต้าแคโรทีนในขนาดประมาณ 10,000-15,000 IU นั้นถือเป็นขนาดที่เพียงพอแล้วและเทียบเท่ากับขนาดที่แนะนำ ซึ่งวิตามินเอที่จะแนะนำให้รับประทานนั้นก็คือในรูปของเบต้าแคโรทีน เพราะไม่มีความเสี่ยงจากการรับประทานสะสมเหมือนวิตามินเอ แถมเบต้าแคโรทีนนั้นก็ช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่เป็ฯตันตรายต่อร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

โดยแหล่งอาหารที่พบวิตามินเอนั้นก็ได้แก่ ตับ น้ำมันตับปลา ผักสีเหลืองและเขียวเข้ม แครอท ผักตำลึง คะน้า ชะอม กระถิน ผักโขม ฟักทอง บรอกโคลี แคนตาลูบ มะม่วงสุก แตงกวา ผักกาดขาว มะละกอสุก ไข่ นม มาร์การีน เป็นต้น ซึ่งโทษของวิตามินเอหากรับประทานในปริมาณมากนั้นก็ได้แก่มีอาการ เช่น ปวดกระดูก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ประจำเดือนมาไม่ปกติ ผมร่วง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผิวลอก ผมร่วง ตามัว ผดผื่น อาการตับบวมโต เป็นต้น ซึ่งจะอันตรายอย่างมากหากคุณรับประทานในปริมาณ 50,000 IU ติดต่อกันเป็นเวลานาน และหญิงตั้งครรภ์ห้ามรับประทานวิตามินเอเสริมอาหารเด็ดขาดเพราะอาจจะทำให้แท้งบุตรได้

ประโยชน์ของวิตามินเอ ก็ได้แก่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ผิวพรรณ ผม ฟัน เหงือก และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ช่วยรักษาโรคตาได้หลายโรค สร้างภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจ หากใช้ทาบริเวณผิวหนังจะช่วยรักษาสิวได้ ลดริ้วรอยตื้นๆ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ลดจุดด่างดำ รอยแผลเป็น รอยแผลสิวที่ผิวหนังได้ดี รักษาโรคถุงลมโป่งพองและไทรอยด์เป็นพิษได้ และยังช่วยรักษาโรคผิวหนังชนิดเป็นตุ่มพุพองที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ฝี ชันนะตุ และแผลเปิดต่างๆ เป็นต้น

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/วิตามิน/วิตามินเอ

วิตามินอี (Vitamin E) ประโยชน์ของวิตามินอี แหล่งอาหารที่พบของวิตามินอี !



วิตามินอี (Vitamin E ) จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งถูกเก็บสะสมไว้ในตับ เนื่อเยื่อไขมัน เลือด หัวใจ กล้ามเนื้อ มดลูก อัณฑะ ต่อมใต้สมอง และต่อมหมวกใต โดยมีหน่วยวัดเป็น IU โดยวิตามินอีนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มซึ่งก็ได้แก่ โทโคฟีรอลและโทโคไทรอีนอล ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวนี้จะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบซึ่งได้แก่ แอลฟา บีตา แกมมา และเดลตา ซึ่งขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่นั้นอยู่ที่ประมาณ 8-10 IU โดยปริมาณร้อยละ 70% ของขนาดที่แนะนำให้รับประทานั้นจะถูกขับออกทางอุจจาระเป็นส่วนใหญ่

วิตามิอีนั้นจะแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมันชนิดอื่นๆ เพราะร่างกายจะเก็บสะสมไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นคล้ายๆกับวิตามินบีและวิตามินซี โดยหน้าที่สำคัญของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่มีความสำคัญออกฤทธิ์เป็นยาขยายหลอดลมและเป็ฯยาช่วยต้านการแข็งตัวของเลือก สำหรับการรับประทานวิตามินอีเสริมอาหารนั้นควรมีส่วนผสมของซีลีเนียมประมาณ 25 ไมโครกรีมต่อวิตามินอี 200 IU ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของวิตามินอีทำงานได้เป็นอย่างดี

แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ จมูกข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลโฮลเกรน แป้งทำขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง น้ำมันพืชต่างๆ เมล็ดมะม่วงหิมพาน เมล็ดทานตะวัน กะหล่ำต่างๆ พิชผักใบเขียว ส่วนเนื้อของอะโวคาโด และปวยเล้ง เป็นต้น โดยศัตรูของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ ความร้อน ออกซิเจน กระบวนการแปรรูปอาหาร ธาตุเหล็ก คลอรีน อุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เป็นต้น

ประโยชน์ของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ ช่วยในการชะลอวัยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ช่วยปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศ ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับวิตามินเอ เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคให้เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ช่วยป้องกันและสลายลิ่มเลือด ช่วยลดโอกาศเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ป้องกันแผลเป็นหนานูน ทั้งภายนอดและภายใน เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วยิ่งขึ้น ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์ อัมพาต และลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ได้

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/วิตามิน/วิตามินอี

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

วิตามินซี (Vitamin C) ประโยชน์ของวิตามินซีกับสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ !!


วิตามินซี (Vitamin C) หรือกรดแอสคอร์บิก จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ โดยทั่วปแล้วตัว์ส่วนใหญ่จะสามารถสังเคราะห์วิตามินซีเองได้ แต่สำหรับมนุษย์นั้นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารจำพวกผลไม้เท่านั้น หรืออาจได้รับจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ได้เช่นกัน โดยวิตามินซีมีหน้าที่สำคัญนั้นก็คือเป็นตัวช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นยอดที่ประสิทธิภาพสูงมาก และมีบทบาทสำคัญในการช่วยสร้างคอลลาเจนใต้ผิวเพื่อช่วยซ่อมเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย ซึ่งวิตามินซีนั้นจะใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิกรัมเพื่อบอกปริมาณ (mg. หรือ มก.)

วิตามินซีนั้นมีขนาดที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันอย่างเป็นทางการอยู่ที่ประมาณ 60 มิลลิกรัมต่อวัน แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตรนั้นจะต้องการมากกว่านั้นนั่นก็คือประมาณ 70-100 มิลลิกรัมต่อวัน ข้อเท็จจริงที่คุณควรจะทราบไว้ก็คือ ร่างกายอาจสูญเสียวิตามินซีประมาณ 24-100 มิลลิกรัมไปอย่างรวดเร็วหากคุณสูบบุหรี่หนึ่งมวน ซึ่งกลุ่มคนหล่านี้รวมไปถึงผู้สูงอายุด้วยก็ควรที่จะได้รับวิตามินซีเพิ่มมากขึ้นกว่าปริมาณที่แนะนำ และที่สำคัญวิตามินซีจะถูกใช้ไปหมดยังรวดเร็วเมื่อคุณอยู่ในสภาวะเครียด มีผลทำให้คุณแก่เร็วนั่นเอง

หากร่างกายคุณได้รับวิตามินซีไม่เพียงพออาจจะเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน ดังนั้นควรรับประทานอย่าให้ขาดสำหรับแหล่งของวิตามินซีที่พบได้ทั่วไปนั้นหลักๆก็คือ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ผักใบเขียว แคนตาลูป มัรฝรั่ง มะเขือเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นต้น หรือจะเป็นในรูปของอาหารเสริมก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะมีปริมาณตั้งแต่ 100-1,000 มิลลิกรัม แต่ถ้าเป็นในรูปของผงชงละลายน้ำปริมาณก็จากจะมากกว่านี้เช่นประมาณ 5,000 มิลลิกรัม แต่แนะนำให้รับประทานวันละประมาณ 500-4,000 มิลลิกรัม ไม่ควรจะรับประทานมากกว่าเพราะหากมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดนิ่วได้ และยังมีอาการอื่นๆเพิ่มเติมอย่างเช่น อาการท้องร่วง ปัสสาวะบ่อย ผิวหนังมีผดผื่นขึ้นเป็นต้น

ประโยชน์ของวิตามินซี นั้นก็ได้แก่ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอยแห่งวัย หากคุณรับประทานเป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้ผิวคุณนุ่มลื่นเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติๆ และยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ดีในระดับหนึ่ง และช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย และยังช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียชนิดต่างๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันป้องกันไข้หวัด ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เป็นต้น