เว็บไซต์สำหรับคนรักสุขภาพ กับวิธีการดูแลสุขภาพ เรื่องของความสวยความงาม และทิปต่างๆ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมุนไพรไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมุนไพรไทย แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชะพลู สรรพคุณของใบชะพลู และประโยชน์ของใบชะพลู !!


ชะพลู ชื่อภาษาอังกฤษ : WildbetalLeafbush มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Piper sarmentosumRoxb. สำหรับชื่ออื่นๆ ภาคเหนือจะเรียกว่า "ผักพลูนก" "พลูลิง" "ปูลิง" "ปูลิงนก" หรือ "ผักปูนา" ทางภาคกลางจะเรียกว่า "ช้าพลู" สำหรับภาคอีสานก็จะเรียกกันว่า "ผักแค" "ผักอีเลิด" "ผักนางเลิด" และสำหรับภาคใต้จะเรียกกันว่า "นมวา"

ลักษณะของต้นชะพลู
ชะพลูเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มักขึ้นทั่วไปตามที่เปียกชื้น ปลูกขึ้นง่าย เจริญเติบโตได้ดี มีลักษณะเป็นเถาเลื้อยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ลำต้นแบ่งเป็นข้อโดยตามข้อจะมีรากช่วยในการยึดเกาะ มีกลิ่นเฉพาะตัวใบมีสีเขียวสดเป็นมัน คล้ายกันกับใบ พลูที่ใช้เคี้ยวกินกับหมาก ฐานใบกว้าง ปลายใบแหลมคล้ายรูปหัวใจหรือใบโพธ์เล็กน้อย เห็นเส้นใบชัดเจน ใบมีกลิ่นฉุน มีรสเผ็ดเล็กน้อย ดอกสีขาวมีขนาดเล็กจะออกเป็นช่อ

สรรพคุณของใบชะพลู
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้
ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสาร เบต้า-แคโรทีน สูงมาก

ข้อควรระวัง
อย่างไรก็ตามใบชะพลูก็มีข้อควรระวังที่สำคัญนั่นคือ ไม่ควรกินใบชะพลูในปริมาณมากเกินไปเพราะมีสารออกซาเลต (Oxalate) ที่หากสะสมในร่างกายมาก ๆ จะทำให้เกิดนิ่วในไตได้ แต่หากเรารับประทานในจำนวนพอเหมาะเว้นระยะบ้างเชื่อกันว่าชะพลูจะช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล

ประโยชน์ของใบชะพลู

ในใบชะพลูมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายของมนุษย์อย่างมาก คือ แคลเซียมและวิตามินเอซึ่งจะมีสูงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย และสารคลอโรฟิล ส่วนสรรพคุณทางยานั้นช่วยบำรุงธาตุ แก้จุกเสียด การกินใบชะพลูมาก ๆ ชนิดที่เรียกว่า กินกันทุกวัน กินกันแทบทุกมื้อ เช่น ชาวบ้านภาคอีสานนั้น แคลเซียมที่มีในใบชะพลูจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งถ้าสะสมมาก ๆ อาจกลายเป็นนิ่วในไตได้ แต่โดยทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวันก็ไม่มีใครกินชะพลูได้มากมายขนาดนั้น ถ้ากินใบชะพลูต้องกินร่วมกับเนื้อสัตว์ร่างกายจึงใช้แคลเซียมที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

1.ช่วยในการขับถ่ายเนื่องจากมีเส้นใยในปริมาณมาก (ใบ)
2.เมนูใบชะพลู ก็ได้แก่ แกงคั่วไก่ใบชะพลู แกงคั่วหอยขมใบชะพลู หมูห่อใบชะพลู ไข่น้ำใบชะพลู ยำตะไคร้ใบชะพลู เมี่ยงปลาเผาใบชะพลู ผัดป่าใบชะพลู แกงอ่อมใบชะพลู ยำปลาทูใบชะพลู เป็นต้น
3.ใบชะพลูมี เบต้าแคโรทีน ในปริมาณมากซึ่งช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยในการมองเห็น ป้องกันโรคตา  บอดตอนกลางคืน แก้โรคตาฟาง เป็นต้น (ใบ)
4.ประโยชน์ของใบชะพลู ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระต่างๆ (ใบ)ชะพลู
5.ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง (ใบ)
6.ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3 ใน 4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว (ราก,ทั้งต้น)
7.ช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ (ราก)
8.ช่วยแก้อาการบิด ด้วยการใช้รากประมาณครึ่งกำมือ ใช้ผลประมาณ 3 หยิบมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว (ราก)
9.ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน (ใบ)
10.ช่วยทำให้เสมหะงวดและแห้ง (ดอก,ราก)ใบชะพลู
11.สรรพคุณของใบชะพลู มีรสเผ็ดร้อน ช่วยทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น (ใบ)
12.สรรพคุณใบชะพลู ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ชะพลูสดทั้งต้นประมาณ 7 ต้น นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำพอท่วมแล้วต้มให้เดือดสักพัด แล้วนำมาดื่มเป็นชา (ทั้งต้น)
13.ช่วยในการขับเสมหะทางอุจจาระ (ราก)
14.ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3 ใน 4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว (ดอก,ราก)
15.สรรพคุณชะพลู ช่วยในการขับเสมหะบริเวณทรวงอก ลำคอ (ใบ,ราก,ต้น)
16.รากชะพลูเป็นหนึ่งในส่วนผสม ของตำรับสมุนไพรพิกัดยาตรีสาร ซึ่งช่วยบำรุงธาตุ บำรุงโลหิต แก้คูถเสมหะ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ : กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม >> ชะพลู <<

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บอระเพ็ด สรรพคุณของบอระเพ็ด และสารพัดประโยชน์ของบอระเพ็ด สมุนไพรไทย !


บอระเพ็ด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น เถากลมมีขนาดใหญ่เป็นปุ่มปม สีเทาอมดำ มีรสขม เปลือกลอกออกได้ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ก้านใบยาว 8-10 ซม. ดอก ออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ดอกสีเขียวอมเหลือง มีขนาดเล็กมาก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง

ส่วนที่ใช้ : ราก ต้น ใบ ดอก ผล ส่วนทั้ง 5  เถาสด

ลักษณะทั่วไป

ลำต้น
 : เป็นพันธุ์ไม้เถาเลื้อยเอนอ่อน เมื่ออายุมากเนื้อของลำต้นอาจแข็งได้  เถากลมโตขนาดนิ้วมือ ประมาณ 1-1.5 ซม. เถาอ่อนผิวเรียบสีเขียว เถาแก่สีน้ำตาลอมเขียว ผิว  ขรุขระ มีปุ่มปมกระจายทั่วไป ขึ้นเกาะต้นไม้อื่น มักจะมีรากอากาศคล้ายเชือกเส้นเล็กๆ ห้อยลงมาเป็นสาย ใบเดี่ยวเป็นแบบสลับ ใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม  ยางมีรสขมจัด ดอกออกเป็นช่อ ขนาดเล็กมากมีสีเหลืองอมเขียว  ผลเป็นรูปไข่สีเหลืองหรือส้ม

ใบ : เป็นใบเดี่ยว รูปใบพลูหรือรูปหัวใจ โคนใบหยักเว้า มีเส้นใบ 5-7 เส้นที่เกิดจากจุดโคนใบ

ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งแก่ตรง บริเวณซอกใบหรือปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็กสีเหลืองอมเขียว, แดงอมชมพู, เขียวอ่อน, เหลืองอ่อน ช่อดอก ยาว 5-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบดอก กลีบเลี้ยงอย่างละ 6 กลีบ

ผล : มีลักษณะเป็นรูปไข่ กลมรี สีเหลืองถึงแดง ขนาด 2-3 ซม. มีเนื้อเยื่อบางๆหุ้มเมล็ด

การขยายพันธุ์ : ปลูกโดยใช้เมล็ดหรือตัดชำเถาแก่ ควรทำค้างให้บอระเพ็ดเลื้อยด้วย

ส่วนที่ใช้ : เถาแก่

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  : ขึ้นได้ในดินทั่วไป  แต่ชอบดินร่วนซุย  ควรปลูกในฤดูฝน


สรรพคุณของบอระเพ็ด

ราก
- แก้ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น
- ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
- เจริญอาหาร

ต้น
- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้เหนือ
- บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ - แก้อาการแทรกซ้อน ขณะที่เป็นไข้ทรพิษ
- แก้ไข้เพื่อโลหิต แก้เลือดพิการ
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้สะอึก แก้พิษฝีดาษ
- เป็นยาขมเจริญอาหาร
- เป็นยาอายุวัฒนะ

ใบ
- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้จับสั่น
- ขับพยาธิ แก้ปวดฝี
- บำรุงธาตุ
- ยาลดความร้อน
- ทำให้ผิวพรรณผ่องใส หน้าตาสดชื่น
- รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
- ช่วยให้เสียงไพเราะ
- แก้โลหิตคั่งในสมอง
- เป็นยาอายุวัฒนะ

ดอก
- ฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู

ผล
- แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ไข้พิษ
- แก้สะอึก และสมุฎฐานกำเริบ

ประโยชน์ของบอระเพ็ด

มีการใช้บอระเพ็ดเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุง กำลัง บำรุงไฟธาตุ ช่วยเจริญอาหาร รักษาโรคฝีดาษ โรคไข้เหนือ โรคไข้พิษทุกชนิด ใบ รักษาพยาธิในท้อง รักษาฟัน ตำให้ละเอียดพอกฝี แก้ฟกช้ำ ปวดแสบปวดร้อน ผล เป็นยา รักษาโรคไข้พิษอย่างแรงและเสมหะเป็นพิษ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ โรคโลหิตพิการ

ในทางการเกษตร มี การนำบอระเพ็ดมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น หนอนกอ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น โรคยอดเหี่ยว  โรคข้าวตายพราย  และโรคข้าวลีบ เป็นต้น

วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาบรรเทาไข้ ลดความร้อน                                                

1.ใช้เถาแก่สด หรือต้นสด ประมาณ 15-20 เซนติเมตร (30-40 กรัม) ตำให้แหลกและคั้นเอาน้ำดื่ม (อย่าลืมใส่ถุงมือตอนคั้นนะครับ ขมติดมือไม่รู้ด้วย )หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ

2.ใช้เถาสด ดองเหล้าโรง แนะนำ 20 ดีกรีก็พอ รับประทานเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของบอระเพ็ด ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดเอง อาจเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ก็อาจเป็นได้
วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาอายุวัฒนา

เนื่องจากว่าส่วนต้นของบอระเพ็ด จะมีความขมมากหากรับประทานสดสด จึงควรปรุงยาสมุนไพรไทยก่อนแนะนำ3วิธีดังต่อไปนี้

1.เอา เถาบอระเพ็ดหั่นแล้วตากแห้ง จากนั้นบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละ 3-5 เม็ด

2. สำหรับคนที่ไม่แพ้แอลกลอฮอร์ ใช้เถาสดดองเหล้า โดยจะใช้บอระเพ็ดสดประมาณ 2 ขีดหั่นเป็นข้อใส่ในโถเหล้า ส่วนการดื่มให้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชาก่อนอาหารเย็น

3. วิธีนี้ง่ายที่สุด คือนำบอระเพ็ดตากแห้ง แล้วนำมาบดใส่แคปซูล ทานวันละ 2-3 แคปซูลโดยทานก่อนอาหารเช้า เย็น (อาจทานเช้าเย็น มื้อละแคปซูล หรือเช้า 1 เย็น 2 ก็ได้)

การทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม

สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านได้เป็นอย่างมาก  เนื่องจากบอระเพ็ดแช่อิ่มมีรสชาติดีและมีราคาของค่อนข้างสูง  ยอดการสั่งซื้อก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ  จนผลิตไม่ทันกับความต้องการ  ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรที่ยอดเยี่ยม  สำหรับส่วนผสมและวิธีทำ  มีดังนี้ค่ะ

เครื่องปรุง
              1.  เถาบอระเพ็ด 1 กิโลกรัม
              2.  น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
              3.  สารส้ม
              4.  เกลือ
              5.  น้ำซาวข้าว

วิธีทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม
     1.  นำบอระเพ็ดมาตัดเป็นท่อน  ลอกเปลือกออ
     2.  นำไปแช่น้ำเกลือ 1 คืน   อัตราส่วนน้ำ 5 ลิตร/เกลือ 1 ลิตร พร้อมแกว่งสารส้ม  ลอกไส้ออกเปลี่ยน   น้ำเกลือทุกวันจนกว่าจะหายขม  
     3.  ล้างน้ำเปล่าทำความสะอาด  แช่น้ำปูนใส 1 คืน
     4.  ต้มน้ำให้เดือด  นำบอระเพ็ดลงต้มประมาณ 10 นาที
     5.  แบ่งน้ำตาลทรายส่วนหนึ่งตั้งไฟ  ชิมดูไม่หวานมากยกลงจากเตา  เมื่อน้ำเย็นลงแล้ว  เอาบอระเพ็ดลงไปแช่  อุ่นน้ำเชื่อมทุกวัน  โดยตักบอระเพ็ดขึ้นก่อนแล้วเติมน้ำตาลทราย  ทุกครั้งที่อุ่นจนน้ำตาลทรายหมด 1 กิโลกรัม  เมื่อแช่น้ำเชื่อมครบ 15 วันจึงรับประทานได้

วิธีใช้บอระเพ็ดเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืช
นำเถาสด 5 กิโลกรัม  หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดให้ละเอียดผสมน้ำ 10 ลิตร ทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงนำมากรองก่อนฉีดพ่น  ควรผสมผงซักฟอกหรือแชมพู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่น 2 ครั้ง  เมื่อมีปัญหาศัตรูพืช

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม >> บอระเพ็ด <<

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กานพลู สรรพคุณ และคุณประโยชน์ของกานพลู วิธีทำน้ำกานพลู !


กานพลู เป็นไม้ยืนต้น สูง 5 - 10 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรีหรือรูปใบหอกกว้าง 2.5 - 4 ซม. ยาว 6 - 10 ซม. ขอบเป็นคลื่น ใบอ่อนสีแดงหรือน้ำตาลแดงเนื้อใบบางค่อนข้างเหนียว ผิวมัน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบกลีบดอกสีขาวและร่วงง่าย กลีบเลี้ยงและฐานดอกสีแดงหนาแข็ง ผลเป็นผลสดรูปไข่
ส่วนที่ใช้ :  เปลือกต้น ใบ ดอกตูม ผล น้ำมันหอมระเหยกานพลู
สรรพคุณของกานพลู
เปลือกต้น  :  แก้ปวดท้อง แก้ลม คุมธาตุ
ใบ : แก้ปวดมวน
ดอกตูม : รับประทานขับลม ใช้แต่งกลิ่น
ดอกกานพลูแห้ง: ที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก และมีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด แก้อุจจาระพิการ แก้โรคเหน็บชา แก้หืด แก้ไอ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้เลือดเสีย ขับน้ำคาวปลา แก้ลม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้เสมหะเหนียว ขับผายลม ขับลมในลำไส้ แก้ท้องเสียในเด็ก แก้ปากเหม็น แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาด กับกลิ่นเหล้า แก้ปวดฟัน
ผล :  ใช้เป็นเครื่องเทศ เป็นตัวช่วยให้มีกลิ่นหอม
น้ำมันหอมระเหยกานพลู - ใช้เป็นยาชาเฉพาะแห่ง แก้ปวดฟัน ฆ่าเชื้อทางทันตกรรม เป็นยาระงับการชักกระตุก ทำให้ผิวหนังชา

วิธีใช้ยา
- แก้อาการ ท้องอืดเฟ้อ  ขับลมใน
ผู้ใหญ่-  ดอกตูม 4-6 ดอกใช้ทุบให้ช้ำ  ชงน้ำดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว หรือใช้ดอกแห้ง  5-8  ดอก  ต้มน้ำพอเดือด  ดื่มแต่น้ำ  ถ้าบดเป็นผง  0.12-0.6  กรัม  ชงน้ำสุกดื่ม  
เด็กอ่อน-  ใช้ดอกแห้ง  1  ดอก  ทุบแช่ไว้ในน้ำเดือด 1 กระติก (ความจุราวครึ่งลิตร)  สำหรับชงนมใส่ขวดให้เด็กดูด แก้ท้องอืด

- แก้ปวดฟัน
 ใช้น้ำมันที่ได้จากการกลั่นดอกตูมของดอกกานพลู 4-5 หยด ใช้สำลีพันปลายไม้  จุ่มน้ำมันจิ้มลงในรูที่ปวดฟัน  และใช้แก้โรครำมะนาด หรือใช้ทั้งดอกเคี้ยว  แล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟันเพื่อระงับอาการปวด  หรือใช้ดอกกานพลูตำพอแหลกผสมกับเหล้าขาวเพียงเล็กน้อยพอแฉะใช้จิ้ม หรืออุดที่ปวดฟัน

- ระงับกลิ่นปาก

ใช้ดอกตูม 2-3 ดอก  อมไว้ในปาก  จะช่วยทำให้ระงับกลิ่นลง
สูตรสุขภาพจากกานพลู
น้ำกานพลูเพื่อสุขภาพแก้ไอชุ่มคอด้วยกานพลู

ส่วนผสม
ดอกกานพลู 1/2-1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/4 แก้ว
เถาชะเอม 1/4 ขีด (25 กรัม)
ลูกกระวาน 1-2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ขีด
น้ำสะอาด 2 1/2 แก้ว
เกลือป่นเล็กน้อย

วิธีทำ
สูตรนี้จะช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ แก้คอแห้ง ให้นำ เถาชะเอมมาสับให้เป็นชิ้น ใส่น้ำสะอาดต้มรวมกับดอกกานพลูและ ลูกกระวานตำให้แหลกต้ม ให้เดือด 5 นาที ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เทน้ำมะนาวลงผสม จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำตาลทรายและเกลือป่น คนให้ละลายชิมรสพอหวานตามใจชอบ

อ่านเพิ่มเติมที่ : http://www.greenerald.com/สมุนไพร/กานพลู

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

ใบย่านาง (Bai-ya-nang) สรรพคุณของใบย่านาง


ใบย่านาง (Bai-ya-nang) มีชื่อวิทยาศาสตร์นั้นว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels สำหรับภาคกลางบ้านเราจะเรียกว่า "เถาย่านาง" มีลักษณะเป็นต้น เป็นเถาไม้เลื้อย เกี่ยวพันกับไม้อื่น เป็นสมุนไพรไทยที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งมีสรรพคุณมากมายหลายประการ เนื่องจากเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติและยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

โหระพา (Sweet Basil) ประโยชน์และสรรพคุณของโหระพา


โหระพา (Sweet Basil) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ocimum basilicum Linn.มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและแอฟริกา แต่แพร่หลายในเอเชียและตะวันตก โหระพาเป็นพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม นิยมอย่างมากในการนำมาประกอบอาหารและแต่งกลิ่นของรสชาติให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น โหระพาสรรพคุณนั้นมีมากมายแต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

สะระแหน่ (Kitchen Mint) สรรพคุณและประโยชน์หลายประการ!!


สะระแหน่ (Kitchen Mint) หรือ Marsh Mint สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์คือ Metha cordifolia Opiz. เป็นพืชสมุนไพรที่จัดอยู่ในตระกูลมิ้นต์ มีแหล่งกำเนิดในแถบทวีปยุโรปตอนใต้ ลักษณะใบจะคล้ายคลึงกับพืชในตระกูลมิ้นต์มาก ลักษณะเด่นจะมีกลิ่นหอมคล้ายมะนาว ส่วนรสชาติจะคล้ายๆกับตะไคร้หอมและมะนาว

พลูคาว (Plu Kaow) หรือผักคาวตอง สรรพคุณและประโยชน์ !!


พลูคาว (Plu Kaow) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb. จัดเป็นไม้ล้มลุก พบได้มากในทวีปเอชียรวมไปถึงบ้านเราด้วย เนื่องจากลักษณะของต้นที่มีกลิ่นคาว จึงนิยมเรียกกันในท้องถิ่นว่า ผักคาวตอง(ลำปาง,อุดรธานี) คาวทาง(อุตรดิตถ์,มุกดาหาร) ผักก้านตอง(แม่ฮ่องสอน) ผักคาวปลา , ผักเข้าตอง , ผักคาวตอง(ภาคเหนือ) โดยในภาคกลางนั้นเราจะเรียกว่า พลูคาว

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

บัวหิมะ ประโยชน์และสรรพคุณของบัวหิมะทั้ง 4 ประเภท !!


บัวหิมะ โดยทั่วไปแล้วแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ประเภทแรกได้แก่ครีมบัวหิมะ ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน หรือ "จงหัวฟูเป่า" มักเรียกกันง่ายๆ ว่า "สมุนไพรบัวหิมะ" เป็นครีมที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติอย่าง โสม ชะมดเช็ด ว่านหางจระเข้ การบูร ผงไข่มุก ราคาจะค่อนข้างแพงหน่อย โดยสรรพคุณนั้นโดยมากแล้วนำมาใช้ในการรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกมากกว่าเป็นครีมบำรุงผิว เช่น รักษาผื่นแพ้คันบนผิวหนัง บวมแดง รักษาแผลสด เป็นหนอง รักษาโรคกลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุต ใช้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้นการเลือกบัวหิมะก็ควรดูให้ดีด้วย โดยเลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ เพราะครีมบัวหิมะนั้นในท้องตลาดจะมีของปลอมด้วย

ตะไคร้ (Lemongrass) สรรพคุณและประโยชน์ของตะไคร้ !!


ตะไคร้ (Lemongrass) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus (DC.) Stapf มีถื่นกำเนิดใน ประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา และไทย จัดเป็นพิชล้มลุก ใบเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นพืชตระกูลหญ้า และจัดเป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาประกอบอาหาร ซึ่งตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 ชนิด ซึ่งได้แก่ ตะไคร้หอม ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้หางสิงห์ ต่างก็เป็นสมุนไพรไทยที่นิยมปลูกทั่วไปในบ้านเรา ตะไคร้ เป็นสมุนไพรเพื่อสุขภาพ โดยสรรพคุณของตะไคร้นั้นมีมากมาย สรรพคุณตะไคร้เป็นทั้งยารักษาโรคและนอกจากนี้มีทั้งวิตามินแร่ธาตุที่มีจำเป็นต่อร่างกายมากอีกด้วย อย่างเช่น วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

งาดำ (Black Sesame Seeds) ประโยชน์ของงาดำกับการรักษาโรค !!



งาดำ (Black Sesame Seeds) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesamum orientale L. อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae เป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมายเพราะจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพของคุณให้แข็งปลอดโรค และยังช่วยรักษาโรคต่างๆได้สราพัด เพราะงาดำนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธษตุที่จำเป็นสำหรับร่างกายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินบี9 แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ธาตุเหล็ก เป็นต้น ซึ่งจะช่วยบำรุงร่างกายเกือบทุกสัดส่วน

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

กราวเครือขาว กับสารพัดสรรพคุณ !!



กวาวเครือขาว (Pueraria mirifica) หรือ White Kwao Krua มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pueraria candollei Graham ex Benth. var mirifica (Airy Shaw et Suvat.) Niyomdham. จัดเป็นไม้เลื้อยในตระกูลถั่ว ลักษณะของผลมีหัวอยู๋ใต้ดิน ลักษณะกลมมีหลายขนาดถ้าใหญ่มากบางครั้งอาจหนักถึง 20 กิโลกรัมเลยทีเดียว เมื่อเอามีดผ่ากลางผลจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม เนื้อในมีสีขาวคล้ายมันแกว เนื้อเปราะ มีเส้นเส้นใยมาก เนื้อละเอียด มีน้ำเยอะ เป็นพืชสมุนไพรที่พบได้มากในภาคเหนือและอีสานของประเทศ

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

บอระเพ็ด สรรพคุณและประโยชน์ของบอระเพ็ด 50 ประการ !!

บอระเพ็ด ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f.& Thomson วงศ์ : Menispermaceae บอระเพ็ดภาษาถิ่นอื่นๆ ก็เช่น เจตมูลหนาม(หนองคาย) , ตัวเจตมูลยาน หรือ เถาหัวดำ(สระบุรี) , หางหนู(อุบลราชธานี) , จุ่งจิง หรือ เครือเขาฮอ(ภาคเหนือ) จัดเป็นไม้เลื้อยที่พบได้ตามป่าดิบแล้ง สมุนไพรไทยบ้านๆที่มีสรรพคุณเป็นยาได้สารพัดโดยส่วนที่นิยมนำมาใช้ทำเป็นยาก็คือ เถาเพสลาก จะมีลักษณะเต่ง ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป รสชาติขมจัด แต่ถ้าเป็นเถาแก่จะแตกแห้งรสเฝื่อนไม่ขม หรือถ้าอ่อนเกินไปก็จะมีรสไม่ขมมาก

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

ขมิ้นชัน สรรพคุณที่หลากหลายกับการรักษาสารพัดโรค

ขมิ้นชัน (Turmeric) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma longa Linn. และชื่ออื่นๆอีก เช่น ขมิ้นชัน ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ภาคและจังหวัดนั่นๆ เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหาร แต่งสี แต่งกลิ่นอาหาร

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

อัญชัน สรรพคุณและประโยชน์ของดอกอัญชัน (Butterfly pea.)



อัญชัน (Butterfly pea.) ชื่อวิทยาศาสตร์ Clitoria ternatea L. สำหรับชื่ออื่นๆ แดงชัน(เชียงใหม่) เอื้องชัน(ภาคเหนือ) มีต้นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ปลูกทั่วไปในเขตร้อน ลักษณะของดอกจะมีสีขาว สีฟ้า สีม่วง ส่วนตรงกลางดอกจะมีสีเหลือง และรูปทรงคล้ายหอยเชลล์ อัญชันนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะมีสารที่ชื่อว่า Anthocyanin ซึ่งมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดีมากขึ้น

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

กระเทียม (Garlic) สรรพคุณและประโยชน์ของกระเทียม !!



กระเทียม (Garlic) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium sativum Linn. จัดเป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งนิยมนำมาใส่อาหารเพื่อปรุงรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นผัด ทอด แกง ยำ ต้มยำ น้ำพริกต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีกระเทียมเป็นส่วน ประกอบแทบทั้งสิ้น ปลูกมากในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อที่มีคุณภาพคงหนีไม่พ้นจังหวัดศรีษะเกษ โดยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด แต่ในส่วนของแร่ธาตุนั้นจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับดินที่ใช้ในการปลูกด้วย โดยกระเทียมยิ่งสดประสิทธิภาพดี แต่หากผ่านการหมักดอง หรือความร้อน สารอัลลิซินและวิตามินในกระเทียมก็จะถูกทำลายไปด้วยนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

ขิง สรรพคุณและประโยชน์ของขิง กับสรรพคุณ 108 ประการ !!


ขิง (Ginger) จิน'เจอะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe. จัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการบำบัดรักษาโรคต่างๆได้สารพัด ถือว่าเป็นตัวช่วยในการรักษาโรคได้เลยทีเดียว และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โดยขิงนั้นเราสามารถนำมาใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และผลก็ได้ทั้งนั้น