เว็บไซต์สำหรับคนรักสุขภาพ กับวิธีการดูแลสุขภาพ เรื่องของความสวยความงาม และทิปต่างๆ

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชะพลู สรรพคุณของใบชะพลู และประโยชน์ของใบชะพลู !!


ชะพลู ชื่อภาษาอังกฤษ : WildbetalLeafbush มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Piper sarmentosumRoxb. สำหรับชื่ออื่นๆ ภาคเหนือจะเรียกว่า "ผักพลูนก" "พลูลิง" "ปูลิง" "ปูลิงนก" หรือ "ผักปูนา" ทางภาคกลางจะเรียกว่า "ช้าพลู" สำหรับภาคอีสานก็จะเรียกกันว่า "ผักแค" "ผักอีเลิด" "ผักนางเลิด" และสำหรับภาคใต้จะเรียกกันว่า "นมวา"

ลักษณะของต้นชะพลู
ชะพลูเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มักขึ้นทั่วไปตามที่เปียกชื้น ปลูกขึ้นง่าย เจริญเติบโตได้ดี มีลักษณะเป็นเถาเลื้อยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ลำต้นแบ่งเป็นข้อโดยตามข้อจะมีรากช่วยในการยึดเกาะ มีกลิ่นเฉพาะตัวใบมีสีเขียวสดเป็นมัน คล้ายกันกับใบ พลูที่ใช้เคี้ยวกินกับหมาก ฐานใบกว้าง ปลายใบแหลมคล้ายรูปหัวใจหรือใบโพธ์เล็กน้อย เห็นเส้นใบชัดเจน ใบมีกลิ่นฉุน มีรสเผ็ดเล็กน้อย ดอกสีขาวมีขนาดเล็กจะออกเป็นช่อ

สรรพคุณของใบชะพลู
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้
ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสาร เบต้า-แคโรทีน สูงมาก

ข้อควรระวัง
อย่างไรก็ตามใบชะพลูก็มีข้อควรระวังที่สำคัญนั่นคือ ไม่ควรกินใบชะพลูในปริมาณมากเกินไปเพราะมีสารออกซาเลต (Oxalate) ที่หากสะสมในร่างกายมาก ๆ จะทำให้เกิดนิ่วในไตได้ แต่หากเรารับประทานในจำนวนพอเหมาะเว้นระยะบ้างเชื่อกันว่าชะพลูจะช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล

ประโยชน์ของใบชะพลู

ในใบชะพลูมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายของมนุษย์อย่างมาก คือ แคลเซียมและวิตามินเอซึ่งจะมีสูงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย และสารคลอโรฟิล ส่วนสรรพคุณทางยานั้นช่วยบำรุงธาตุ แก้จุกเสียด การกินใบชะพลูมาก ๆ ชนิดที่เรียกว่า กินกันทุกวัน กินกันแทบทุกมื้อ เช่น ชาวบ้านภาคอีสานนั้น แคลเซียมที่มีในใบชะพลูจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งถ้าสะสมมาก ๆ อาจกลายเป็นนิ่วในไตได้ แต่โดยทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวันก็ไม่มีใครกินชะพลูได้มากมายขนาดนั้น ถ้ากินใบชะพลูต้องกินร่วมกับเนื้อสัตว์ร่างกายจึงใช้แคลเซียมที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

1.ช่วยในการขับถ่ายเนื่องจากมีเส้นใยในปริมาณมาก (ใบ)
2.เมนูใบชะพลู ก็ได้แก่ แกงคั่วไก่ใบชะพลู แกงคั่วหอยขมใบชะพลู หมูห่อใบชะพลู ไข่น้ำใบชะพลู ยำตะไคร้ใบชะพลู เมี่ยงปลาเผาใบชะพลู ผัดป่าใบชะพลู แกงอ่อมใบชะพลู ยำปลาทูใบชะพลู เป็นต้น
3.ใบชะพลูมี เบต้าแคโรทีน ในปริมาณมากซึ่งช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยในการมองเห็น ป้องกันโรคตา  บอดตอนกลางคืน แก้โรคตาฟาง เป็นต้น (ใบ)
4.ประโยชน์ของใบชะพลู ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระต่างๆ (ใบ)ชะพลู
5.ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง (ใบ)
6.ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3 ใน 4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว (ราก,ทั้งต้น)
7.ช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ (ราก)
8.ช่วยแก้อาการบิด ด้วยการใช้รากประมาณครึ่งกำมือ ใช้ผลประมาณ 3 หยิบมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว (ราก)
9.ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน (ใบ)
10.ช่วยทำให้เสมหะงวดและแห้ง (ดอก,ราก)ใบชะพลู
11.สรรพคุณของใบชะพลู มีรสเผ็ดร้อน ช่วยทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น (ใบ)
12.สรรพคุณใบชะพลู ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ชะพลูสดทั้งต้นประมาณ 7 ต้น นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำพอท่วมแล้วต้มให้เดือดสักพัด แล้วนำมาดื่มเป็นชา (ทั้งต้น)
13.ช่วยในการขับเสมหะทางอุจจาระ (ราก)
14.ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3 ใน 4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว (ดอก,ราก)
15.สรรพคุณชะพลู ช่วยในการขับเสมหะบริเวณทรวงอก ลำคอ (ใบ,ราก,ต้น)
16.รากชะพลูเป็นหนึ่งในส่วนผสม ของตำรับสมุนไพรพิกัดยาตรีสาร ซึ่งช่วยบำรุงธาตุ บำรุงโลหิต แก้คูถเสมหะ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ : กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม >> ชะพลู <<

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บอระเพ็ด สรรพคุณของบอระเพ็ด และสารพัดประโยชน์ของบอระเพ็ด สมุนไพรไทย !


บอระเพ็ด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น เถากลมมีขนาดใหญ่เป็นปุ่มปม สีเทาอมดำ มีรสขม เปลือกลอกออกได้ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ก้านใบยาว 8-10 ซม. ดอก ออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ดอกสีเขียวอมเหลือง มีขนาดเล็กมาก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง

ส่วนที่ใช้ : ราก ต้น ใบ ดอก ผล ส่วนทั้ง 5  เถาสด

ลักษณะทั่วไป

ลำต้น
 : เป็นพันธุ์ไม้เถาเลื้อยเอนอ่อน เมื่ออายุมากเนื้อของลำต้นอาจแข็งได้  เถากลมโตขนาดนิ้วมือ ประมาณ 1-1.5 ซม. เถาอ่อนผิวเรียบสีเขียว เถาแก่สีน้ำตาลอมเขียว ผิว  ขรุขระ มีปุ่มปมกระจายทั่วไป ขึ้นเกาะต้นไม้อื่น มักจะมีรากอากาศคล้ายเชือกเส้นเล็กๆ ห้อยลงมาเป็นสาย ใบเดี่ยวเป็นแบบสลับ ใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม  ยางมีรสขมจัด ดอกออกเป็นช่อ ขนาดเล็กมากมีสีเหลืองอมเขียว  ผลเป็นรูปไข่สีเหลืองหรือส้ม

ใบ : เป็นใบเดี่ยว รูปใบพลูหรือรูปหัวใจ โคนใบหยักเว้า มีเส้นใบ 5-7 เส้นที่เกิดจากจุดโคนใบ

ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งแก่ตรง บริเวณซอกใบหรือปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็กสีเหลืองอมเขียว, แดงอมชมพู, เขียวอ่อน, เหลืองอ่อน ช่อดอก ยาว 5-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบดอก กลีบเลี้ยงอย่างละ 6 กลีบ

ผล : มีลักษณะเป็นรูปไข่ กลมรี สีเหลืองถึงแดง ขนาด 2-3 ซม. มีเนื้อเยื่อบางๆหุ้มเมล็ด

การขยายพันธุ์ : ปลูกโดยใช้เมล็ดหรือตัดชำเถาแก่ ควรทำค้างให้บอระเพ็ดเลื้อยด้วย

ส่วนที่ใช้ : เถาแก่

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  : ขึ้นได้ในดินทั่วไป  แต่ชอบดินร่วนซุย  ควรปลูกในฤดูฝน


สรรพคุณของบอระเพ็ด

ราก
- แก้ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น
- ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
- เจริญอาหาร

ต้น
- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้เหนือ
- บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ - แก้อาการแทรกซ้อน ขณะที่เป็นไข้ทรพิษ
- แก้ไข้เพื่อโลหิต แก้เลือดพิการ
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้สะอึก แก้พิษฝีดาษ
- เป็นยาขมเจริญอาหาร
- เป็นยาอายุวัฒนะ

ใบ
- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้จับสั่น
- ขับพยาธิ แก้ปวดฝี
- บำรุงธาตุ
- ยาลดความร้อน
- ทำให้ผิวพรรณผ่องใส หน้าตาสดชื่น
- รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
- ช่วยให้เสียงไพเราะ
- แก้โลหิตคั่งในสมอง
- เป็นยาอายุวัฒนะ

ดอก
- ฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู

ผล
- แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ไข้พิษ
- แก้สะอึก และสมุฎฐานกำเริบ

ประโยชน์ของบอระเพ็ด

มีการใช้บอระเพ็ดเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุง กำลัง บำรุงไฟธาตุ ช่วยเจริญอาหาร รักษาโรคฝีดาษ โรคไข้เหนือ โรคไข้พิษทุกชนิด ใบ รักษาพยาธิในท้อง รักษาฟัน ตำให้ละเอียดพอกฝี แก้ฟกช้ำ ปวดแสบปวดร้อน ผล เป็นยา รักษาโรคไข้พิษอย่างแรงและเสมหะเป็นพิษ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ โรคโลหิตพิการ

ในทางการเกษตร มี การนำบอระเพ็ดมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น หนอนกอ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น โรคยอดเหี่ยว  โรคข้าวตายพราย  และโรคข้าวลีบ เป็นต้น

วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาบรรเทาไข้ ลดความร้อน                                                

1.ใช้เถาแก่สด หรือต้นสด ประมาณ 15-20 เซนติเมตร (30-40 กรัม) ตำให้แหลกและคั้นเอาน้ำดื่ม (อย่าลืมใส่ถุงมือตอนคั้นนะครับ ขมติดมือไม่รู้ด้วย )หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ

2.ใช้เถาสด ดองเหล้าโรง แนะนำ 20 ดีกรีก็พอ รับประทานเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของบอระเพ็ด ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดเอง อาจเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ก็อาจเป็นได้
วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาอายุวัฒนา

เนื่องจากว่าส่วนต้นของบอระเพ็ด จะมีความขมมากหากรับประทานสดสด จึงควรปรุงยาสมุนไพรไทยก่อนแนะนำ3วิธีดังต่อไปนี้

1.เอา เถาบอระเพ็ดหั่นแล้วตากแห้ง จากนั้นบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละ 3-5 เม็ด

2. สำหรับคนที่ไม่แพ้แอลกลอฮอร์ ใช้เถาสดดองเหล้า โดยจะใช้บอระเพ็ดสดประมาณ 2 ขีดหั่นเป็นข้อใส่ในโถเหล้า ส่วนการดื่มให้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชาก่อนอาหารเย็น

3. วิธีนี้ง่ายที่สุด คือนำบอระเพ็ดตากแห้ง แล้วนำมาบดใส่แคปซูล ทานวันละ 2-3 แคปซูลโดยทานก่อนอาหารเช้า เย็น (อาจทานเช้าเย็น มื้อละแคปซูล หรือเช้า 1 เย็น 2 ก็ได้)

การทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม

สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านได้เป็นอย่างมาก  เนื่องจากบอระเพ็ดแช่อิ่มมีรสชาติดีและมีราคาของค่อนข้างสูง  ยอดการสั่งซื้อก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ  จนผลิตไม่ทันกับความต้องการ  ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรที่ยอดเยี่ยม  สำหรับส่วนผสมและวิธีทำ  มีดังนี้ค่ะ

เครื่องปรุง
              1.  เถาบอระเพ็ด 1 กิโลกรัม
              2.  น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
              3.  สารส้ม
              4.  เกลือ
              5.  น้ำซาวข้าว

วิธีทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม
     1.  นำบอระเพ็ดมาตัดเป็นท่อน  ลอกเปลือกออ
     2.  นำไปแช่น้ำเกลือ 1 คืน   อัตราส่วนน้ำ 5 ลิตร/เกลือ 1 ลิตร พร้อมแกว่งสารส้ม  ลอกไส้ออกเปลี่ยน   น้ำเกลือทุกวันจนกว่าจะหายขม  
     3.  ล้างน้ำเปล่าทำความสะอาด  แช่น้ำปูนใส 1 คืน
     4.  ต้มน้ำให้เดือด  นำบอระเพ็ดลงต้มประมาณ 10 นาที
     5.  แบ่งน้ำตาลทรายส่วนหนึ่งตั้งไฟ  ชิมดูไม่หวานมากยกลงจากเตา  เมื่อน้ำเย็นลงแล้ว  เอาบอระเพ็ดลงไปแช่  อุ่นน้ำเชื่อมทุกวัน  โดยตักบอระเพ็ดขึ้นก่อนแล้วเติมน้ำตาลทราย  ทุกครั้งที่อุ่นจนน้ำตาลทรายหมด 1 กิโลกรัม  เมื่อแช่น้ำเชื่อมครบ 15 วันจึงรับประทานได้

วิธีใช้บอระเพ็ดเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืช
นำเถาสด 5 กิโลกรัม  หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดให้ละเอียดผสมน้ำ 10 ลิตร ทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงนำมากรองก่อนฉีดพ่น  ควรผสมผงซักฟอกหรือแชมพู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่น 2 ครั้ง  เมื่อมีปัญหาศัตรูพืช

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม >> บอระเพ็ด <<

น้ำผึ้ง (Honey) สรรพคุณและสารพัดคุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง !!

น้ำผึ้ง ที่ขายกันทั่วไป หากเราไม่สังเกตดีๆ ก็จะรู้สึกว่ามันก็คือน้ำผึ้งเหมือนกันทุกขวด แต่ความจริงแล้วน้ำผึ้งก็มีเกรดหรือคุณภาพที่แตกต่างกันอยู่ น้ำผึ้งที่ดีจะต้องมีลักษณะข้นหนืด มีความใสหรือโปร่งแสง สะอาด ไม่มีไขผึ้ง ไม่มีฟอง ไม่มีตะกอนหรือสิ่งเจือปน ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเฉพาะของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งไปดูดน้ำหวานมา เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบเกสรดอกไม้ปนอยู่หลายชนิด

คุณค่าทางยา
คุณค่าทางยาของน้ำผึ้งเป็นที่ประจักษ์กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว ยิ่งปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับข้อดีของน้ำผึ้งออกมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้มีผู้หันมาสนใจบริโภคน้ำผึ้งหรือใช้น้ำผึ้งเป็นยารักษาอาการเจ็บป่วยกันมากขึ้น ประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพ และรักษาโรคต่างๆ มีหลายสูตรหลายขนาน สามารถใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย และไม่แสลงต่อโรคใดๆ ทั้งสิ้น (ดูตารางที่ ๒) เมื่อปีที่แล้วองค์การอาหารและยาของออสเตรเลีย ก็อนุมัติให้น้ำผึ้งเป็นยาที่ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง
ประโยชน์ของน้ำผึ้งในการนำมา บำรุงผิวพรรณ หรือผสมในเครื่องสำอางชนิดต่างๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ เพราะผู้หญิงที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างพระนางคลีโอพัตรา หรืออีกหลายๆ คน ก็ใช้น้ำผึ้งเป็นเครื่องประทินโฉมมาตั้งนานแล้ว คุณสมบัติที่โดดเด่นของน้ำผึ้งอยู่ที่ความสามารถในการต่อต้านแบคทีเรีย โดยสารที่ชื่อว่า "ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์" ซึ่งเป็นสารต่อต้านแบคทีเรียที่ดีเยี่ยม และที่พิเศษกว่านั้นก็คือ สารชนิดนี้กำจัดเชื้อโรคได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ นี่เองเป็นเหตุผลที่ทำให้น้ำผึ้งถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคผิวหนัง รวมถึงเรื่องความสวยความงาม

สรรพคุณของน้ำผึ้ง
- เป็นอาหารบำรุงสุขภาพ เนื่องจากดูดซึมได้เร็ว ให้พลังงานทันที
- รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก และริดสีดวงทวาร
- บรรเทาอาการท้องเสียอย่างรุนแรง
- ใช้ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง ให้หายเร็วขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งสามารถฆ่าเชื้อโรคได้
- ช่วยรักษาแผลไฟไหมและน้ำร้อนลวก
- บรรเทาโรคกระเพาะอาหาร
- บรรเทาอาการข้ออักเสบ
- ช่วยลดความดันโลหิต
- บรรเทาอาการไอ
- รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา

วิธีใช้เพิ่มความสวยความงาม

1.วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

2.หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3.น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

4.ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5.ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6.ใสครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7.สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8.เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

เพิ่มเติม : http://www.greenerald.com/อาหารเพื่อสุขภาพ/ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แครอท สรรพคุณประโยชน์ของแครอท กับสุขภาพที่น่าสนใจ !!


ในปัจจุบันผู้คนเริ่มหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกาย สุขภาพใจ และ สุขภาพผิว
เราจะเห็นได้ว่า มีการวิจัยเพื่อนำสารสกัดที่มีประโยชน์มาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง หรืออาหารเสริมกันมากขึ้น และแครอทก็เป็นหนึ่งในพืชที่มีประโยชน์กับร่างกายและผิวพรรณดังจะเห็นได้จากการที่มีครีมบำรุงผิวนำสารสกัดจากแครอทมาใช้

การดื่มน้ำแครอทจะได้ประโยชน์จากแครอทมากกว่าการกินดิบ ๆ เพราะว่าสารอาหารบางส่วนจะยังคงอยู่ในไฟเบอร์ซึ่งไม่สามารถย่อยสลายโดยร่างกายได้ดังนั้นการคั้นน้ำออกมาจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่

ลักษณะ 
แครอทเป็นไม้ล้มลุก อายุ 1 - 2 ปี หัวเป็นสีส้ม และมีสารแคโรทีนอยู่เป็นจำนวนมากรากยาวเรียว ใบมีลักษณะเป็นฝอยแครอทเป็นพืชกินหัวชนิดหนึ่ง มีลักษณะยาว หัวแครอทมีหลายสี เช่น เหลืองม่วงส้ม แต่ที่นิยมรับประทานในปัจจุบันคือสีส้มเป็นพืชแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าแท่งดินสอหรือที่เรียกว่าเบบี้แครอท ไปจนถึงขนาดใหญ่

คุณค่าทางโภชนาการ
หัว มีสารเบต้า-แคโรทีนสูง มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียมฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ บี 1 บี 2 และ วิตามินซี

สรรพคุณของแครอท
หัว มีปริมาณของเกลือโปตัสเซียมสุง ซึ่งทำให้มีฤทธิ์ทางขับปัสสาวะ มีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ในทางขับ พยาธิใส้เดือนและ Anti-Oxidant ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง

ประโยชน์ของแครอท
1.วิตามิน A จะเป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตเนื้อเย่ือของร่างกาย ซึ่งแครอทอุดมไปด้วยวิตามิน A ซึ่งอยู่ในรูปของ เบต้า แคโรทีนนั่นเอง

2.ช่วยชลอการะบวนการแก่ เนื่องจากแครอทเองมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก และเจ้าอนุมูลอิสระ ก็เป็นสาเหตุของปัญหาผิว ริ้วรอย ผิวหนังอักเสบ

3.ปกป้องผิวจากแสงแดด เนื่องจากแครอทอุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับแสงแดด และ ช่วยรักษาผิวไหม้จากแดด ด้วยการเสิรมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นดื่มน้ำแครอทในหน้าร้อน ก็เปรียบเสมือนเราได้สารปกป้องจากแสงแดดได้ตามธรรมชาติ

4.เสริมสร้างการสร้างคอลลาเจน โดยวิตามิน ซีในแครอท จะช่วยการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญสำหรับความยืดหยุ่นของผิว ลดริ้วรอย ชะลอการแก่

5.ช่วยลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ

6.ลดและปกป้องผิวจากการเกิดสิว เนื่องจากแครอทจะมี essential oil ที่จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ก็จะช่วยลดการเกิดสิวได้

7.รักษาแผลเป็น หนึ่งในประโยชน์ของแครอทการมีผลทางการรักษาบรรเทาแผลเป็น ด้วย วิตามิน A ที่มากในแครอท และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อ

เพิ่มเติมที่ : http://www.greenerald.com/อาหารเพื่อสุขภาพ/แครอทสรรพคุณ

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กานพลู สรรพคุณ และคุณประโยชน์ของกานพลู วิธีทำน้ำกานพลู !


กานพลู เป็นไม้ยืนต้น สูง 5 - 10 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรีหรือรูปใบหอกกว้าง 2.5 - 4 ซม. ยาว 6 - 10 ซม. ขอบเป็นคลื่น ใบอ่อนสีแดงหรือน้ำตาลแดงเนื้อใบบางค่อนข้างเหนียว ผิวมัน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบกลีบดอกสีขาวและร่วงง่าย กลีบเลี้ยงและฐานดอกสีแดงหนาแข็ง ผลเป็นผลสดรูปไข่
ส่วนที่ใช้ :  เปลือกต้น ใบ ดอกตูม ผล น้ำมันหอมระเหยกานพลู
สรรพคุณของกานพลู
เปลือกต้น  :  แก้ปวดท้อง แก้ลม คุมธาตุ
ใบ : แก้ปวดมวน
ดอกตูม : รับประทานขับลม ใช้แต่งกลิ่น
ดอกกานพลูแห้ง: ที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก และมีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด แก้อุจจาระพิการ แก้โรคเหน็บชา แก้หืด แก้ไอ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้เลือดเสีย ขับน้ำคาวปลา แก้ลม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้เสมหะเหนียว ขับผายลม ขับลมในลำไส้ แก้ท้องเสียในเด็ก แก้ปากเหม็น แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาด กับกลิ่นเหล้า แก้ปวดฟัน
ผล :  ใช้เป็นเครื่องเทศ เป็นตัวช่วยให้มีกลิ่นหอม
น้ำมันหอมระเหยกานพลู - ใช้เป็นยาชาเฉพาะแห่ง แก้ปวดฟัน ฆ่าเชื้อทางทันตกรรม เป็นยาระงับการชักกระตุก ทำให้ผิวหนังชา

วิธีใช้ยา
- แก้อาการ ท้องอืดเฟ้อ  ขับลมใน
ผู้ใหญ่-  ดอกตูม 4-6 ดอกใช้ทุบให้ช้ำ  ชงน้ำดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว หรือใช้ดอกแห้ง  5-8  ดอก  ต้มน้ำพอเดือด  ดื่มแต่น้ำ  ถ้าบดเป็นผง  0.12-0.6  กรัม  ชงน้ำสุกดื่ม  
เด็กอ่อน-  ใช้ดอกแห้ง  1  ดอก  ทุบแช่ไว้ในน้ำเดือด 1 กระติก (ความจุราวครึ่งลิตร)  สำหรับชงนมใส่ขวดให้เด็กดูด แก้ท้องอืด

- แก้ปวดฟัน
 ใช้น้ำมันที่ได้จากการกลั่นดอกตูมของดอกกานพลู 4-5 หยด ใช้สำลีพันปลายไม้  จุ่มน้ำมันจิ้มลงในรูที่ปวดฟัน  และใช้แก้โรครำมะนาด หรือใช้ทั้งดอกเคี้ยว  แล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟันเพื่อระงับอาการปวด  หรือใช้ดอกกานพลูตำพอแหลกผสมกับเหล้าขาวเพียงเล็กน้อยพอแฉะใช้จิ้ม หรืออุดที่ปวดฟัน

- ระงับกลิ่นปาก

ใช้ดอกตูม 2-3 ดอก  อมไว้ในปาก  จะช่วยทำให้ระงับกลิ่นลง
สูตรสุขภาพจากกานพลู
น้ำกานพลูเพื่อสุขภาพแก้ไอชุ่มคอด้วยกานพลู

ส่วนผสม
ดอกกานพลู 1/2-1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/4 แก้ว
เถาชะเอม 1/4 ขีด (25 กรัม)
ลูกกระวาน 1-2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ขีด
น้ำสะอาด 2 1/2 แก้ว
เกลือป่นเล็กน้อย

วิธีทำ
สูตรนี้จะช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ แก้คอแห้ง ให้นำ เถาชะเอมมาสับให้เป็นชิ้น ใส่น้ำสะอาดต้มรวมกับดอกกานพลูและ ลูกกระวานตำให้แหลกต้ม ให้เดือด 5 นาที ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เทน้ำมะนาวลงผสม จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำตาลทรายและเกลือป่น คนให้ละลายชิมรสพอหวานตามใจชอบ

อ่านเพิ่มเติมที่ : http://www.greenerald.com/สมุนไพร/กานพลู

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่ และสรรพคุณของสตรอเบอร์รี่ ที่คุณอาจไม่เคยรู้ !!



สตรอเบอร์รี่ หรือ Strawberry มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Fragaria × ananassa Duchesne จัดอยู่ในสกุลไม้ดอกในวงศ์กุหลาบ มีรสชาติหลากหลายตั้งแต่เปรี้ยวถึงหวานจัด ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สำหรับสายพันธุ์ที่นิยมปลูกในบ้านเราคือ สตรอเบอร์รี่สวน สำหรับประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่นั้นมีค่อนข้างหลากหลาย เพี่ะอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆได้ และมีวิตามินซีในปริมาณสูง

โดยสตรอเบอร์รี่จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าส้ม 1.5 เท่า มากกว่าองุ่นแดง 2 เท่า มากกว่ากีวี 3 เท่า มากกว่ามะเขือเทศ 7 เท่า  และมากกว่าลูกแพร ถึง 15 เท่า ซึ่งสตรอเบอร์รี่ยิ่งสดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากเท่านั้น และการกินสตรอเบอร์รี่แบบสดๆ จะทำให้ได้รับสารอาหารจากสตรอเบอร์รี่มากกว่าวิธีอื่นๆ

ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่ ได้แก่ ช่วยสร้างคอลลาเจน ชะลอการเกิดริ้วรอย เป็นผลที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเพราะมีพลังงานต่ำ เป็นตัวช่วยดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัดและภูมิแพ้ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ช่วยบำรุงโลหิตลดความดันโลหิต เสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยบำรุงและรักษาสายตาให้สดใสเปล่งปลั่ง

สรรพคุณของสตรอเบอร์รี่ สรรพคุณทางยาเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต ช่วยทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ปัญหาประจำเดือนของสตรีมาไม่เป็นปกติ บรรเทาอาการของโรคตับอักเสบ ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ โรคเกาต์ ป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา

ประโยชน์สตรอเบอร์รี่ ในด้านอื่นๆ ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า (ใช้สตรอเบอร์รี่3 ผลผสมน้ำมะนาวแล้วนำมานวดทาบริเวณใบหน้าแล้วล้างออก) ใช้บำรุงผิวพรรณ ด้วยการนำสตรอเบอร์รี่มาฝานบางๆ วางทั่วบริเวณใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก นอกจากนี้ยังมีการนำไปแปรรูป เป็น สตรอเบอร์รี่เชื่อม ไวน์สตรอเบอร์รี่ น้ำสตรอเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่อบแห้ง โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ แยมสตรอเบอร์รี่ เค้กสตรอเบอร์รี่ สตอเบอร์รี่ชีสเค้ก เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติมที่ : http://www.greenerald.com/อาหารเพื่อสุขภาพ/ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สรรพคุณของมะยม ประโยชน์ใบมะยม กับการรักษาโรค !!


มะยม (Star Gooseberry) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus acidus  (L.) Skeels ทางภาคอีสานจะเรียกมะยมว่า "หมากยม" ส่วนภาคใต้จะเรียกสั้นๆว่า "ยม" ลักษณะของผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียว ถ้าแก่จะเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง มีเนื้อฉ่ำน้ำ รสชาติจะมีรสหวานอมฝาด ในผลมีเมล็ดกลมๆสีน้ำตาล 1 เมล็ด มะยมทั้งตัวผู้และตัวเมีย ต้นตัวผู้จะออกดอกเต็มต้นแต่ไม่ติดลูก ส่วนตัวเมียนั้นจะมีดอกน้อยกว่า เรานิยมใช้ตัวผู้เป็นหลักเพราะมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูงกว่าตัวเมีย

ในเรื่องของความเชื่อ เชื่อว่ามะยมเป็นต้นไม้มงคลนาม ผู้ปลูกจะมีเมตตามหานิยม และเชื่อว่าให้ปลูกต้นมะยมในทางทิศตะวันตก เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดีมิร้ายได้อีกด้วย และการรับประทานน้ำยางของรากต้นมะยมเข้าไปอาจจะมีอาการปวดท้อง ปวดศีรษะ และมีอาการง่วงซึมได้ ควรระวังน้ำ ควรระวังตรงนี้ไว้ด้วย

ประโยชน์ของมะยม ได้แก่ ผลช่วยดับร้อนและปรับสมดุลในร่างกาย ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงโลหิต ต้านหวัด มีฤทธิ์กัดเสมหะ ดับพิษเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย ช่วยแก้อาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ โรคไขข้ออักเสบ

รากมะยม ใช้แก้น้ำเหลืองเสียให้แห้ง ช่วยรักษาเม็ดผดผื่นคัน หรือแก้โรคประดง ช่วยรักษาโรคผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสียให้แห้ง แก้ไข้ และเปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มสรรพคุณช่วยแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้

ใบมะยม แก้เบาหวาน ลดความดันโลหิต ช่วยบำรุงประสาท บรรเทาอาการปวดศีรษะ แก้ไข้เหือด ไข้หัด แก้สำแดง ช่วยรักษาโรคอีสุกอีใส ต้มน้ำอาบแก้พิษคัน นำมาใช้ปรุงเป็นส่วนประกอบในยาเขียว และใช้เป็นอาหารได้ เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติมที่ : www.greenerald.com/อาหารเพื่อสุขภาพ/มะยม

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิธีรักษาสิวผดแบบง่ายๆ เห็นผลชัวร์ 100%


สิวผด (Acne Estivalis) เป็นสิวที่เราพบเห็นได้บ่อยๆในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายผดเล็กๆ และแหลมมักจะดูเรียบหรือดีขึ้นในตอนเช้า และมักจะเห่อขึ้นมาอีกครั้งในช่วงบ่าย ซึ่งอาจจะมีลักษณะสีแดงและมีอาการคันได้ หากล้างหน้าบ่อยๆมักจะเป็นมากขึ้น

สำหรับบริเวณที่พบสิวผดได้บ่อยๆก็มักจะเป็นตามตามบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจมูก และยังพบได้ทั่วๆไปตามหน้าผาก ขมับ เป็นต้น โดยสิวชนิดนี้จะมีแบบไม่อักเสบและแบบอักเสบ โดยหลายๆคนมักจะเป็ฯสิวผดกันมากขึ้นในช่วงที่อากาศร้อนสูง ส่วนช่วงเช้าจะไม่ค่อยมีปรากฏให้เห็น

สาเหตุการเกิดสิวผด สาเหตุหลักๆนั้นก็มาจากความร้อนและแสงแดด มลพิษทางน้ำและอากาศ ารใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฟองมากจนเกินไปหรือไม่เหมาะสมกับสภาพผิว การใช้น้ำอุ่นล้างหน้าเป็นประจำ การเช็ดถูกหน้าบ่อยๆ รวมไปถึงการใช้เครื่องสำอางบางประเภทหรืออุปกรณ์แต่งหน้าที่ไม่ทำความสะอาดให้ดี และสาเหตุอื่นๆก็เช่น การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอหรือร่างกายมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดได้ทั้งสิ้น

วิธีการรักษาสิวผด คุณควรหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนบนผิวหน้าให้น้อยที่สุด เช่น การขัด เช็ด ถู รวมไปถึงการล้างหน้าเฉพาะเวลาที่จำเป็น ไม่ล้างหน้าบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองอย่างพวกยารักษาสิวต่างๆ ถัดมาก็คือการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าให้เหมาะสมกับตัวเราเอง และไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ไม่ล้างหน้าบ่อยในช่วงระหว่างวัน ถ้าจะล้างก็ให้ใช้แค่น้ำเปล่า และหลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยสบู่ถูตัว หันมาออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงแสงแดด รับประทานผักผลไม้เป็นเป็นจำ เหล่านี้ก็จะทำให้สิวผดของคุณลดน้อยลงได้เยอะเลยทีเดียว

เพิ่มเติมที่ : www.greenerald.com/วิธีรักษาสิว-ฝ้า-กระ/สิวผด

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิธีเพิ่มน้ำหนัก ให้หุ่นสวยดูดีขึ้นอย่างได้ผล ให้เป๊ะเว่อร์ !!



อยากอ้วนขึ้นทำไงดี? สำหรับผู้หยิงหรือชายต่างก็ใฝ่ฝันที่จะอยากมีหุ่นสวยดีดี รูปร่างสมส่วน เพราะจะช่วยทำให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็มั่นใจไปหมด ใครๆหลายคนก็ต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าถ้าคุณอยากจะอ้วน คุณก็ต้องทานอาหารให้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีอีกหลายคนๆที่พยายามจะกินเท่าไหร่แต่ก็ไม่อ้วนขึ้นสัก วันนี้เรามีวิธีเพิ่มน้ำหนักดีๆมาฝาก

สิ่งที่เราต้องรู้กันก่อนนั้นก็คือว่าตัวเรานั้นผอมเนื่องจากสาเหตุอะไร จะได้แก้ปัญหาได้อย่างตรงขุดและถูกต้อง เช่นคุณเป็นคนทานอะไรยากรึเปล่า หรือทานก็ทานแค่นิดเดียว เลือกกิน หรือสำหรับบางคนที่อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ทำให้ผอมก็เป็นได้ ไม่ว่าจะกินเก่งยังไงก็ไม่อ้วนขึ้นสักที มาดูกันเลยดีกว่าว่า มีวิธีเพิ่มน้ำหนักตัวอย่างไรบ้าง?

วิธีเพิ่มน้ำหนัก อย่างแรกซึ่งสำคัญที่สุดนั้นก็คือคุณต้องรู้จักเสริมสร้างกำลังใจในการรับประทานอาการให้กับตัวเอง ต้องรู้จักตั้งเป้าหมายว่าฉันต้องทำให้ได้ และทำอย่างสม่ำเสมอและทำทุกๆวัน ถัดมาก็เทคนิคการรับประทานอาการคุณควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาการอย่างน้อย 30 นาที หรือไม่ดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร ก็จะช่วยให้คุณสามารถรับประทานอาหารได้มากยิ่งขึนนั่นเอง

วิธีต่อมานั้นก็คือต้องมีความสุขกับการรับประทานอาหาร ทานให้อร่อย ไม่ฝืนใจตัวเอง เพราะมันจะทำให้แต่ละมื้ออาหารของคุณนั้นรับประทานได้มากยิ่งขึ้น ถัดมาก็คือเพิ่มการรับประทานให้มากขึ้นกว่าเดิมเป็น 1-2 เท่าตัว ถ้าเคยทานแค่ 1 จานก็ค่อยปรับเปลี่ยนมาทานเป็น 2 จาน 3 จานแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป และเพิ่มจำนวนมื้ออาหารให้มากยิ่งขึ้นหรือรับประทานอาหารทุกๆ 2-3 ชั่วโมงรวมถึงอาหารว่างด้วย รับประทานอาหารได้ 6 มื้อก็จะดีมากๆ เห็นผลแน่นอน ที่สำคัญต้องทานให้ครบ 5 หมู่ด้วย

วิธีถัดมาก็คือเพิ่มอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตให้มากยิ่งขึ้น โดยสัดส่วนของอาหารที่เหมาะสมควรจะเป็น แป้ง70% : โปรตีน15% : ไขมัน15% และถัดมารับประทานผลไม้ช่วยเพิ่มน้ําหนัก โดยผลไม้ที่กินแล้วอ้วนที่สุด 10 อันดับเรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย ก็คือ กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า ขนุน กล้วยหอม มะม่วงน้ำดอกไม้สุก ลำไยกะโหลก เงาะ ลางสาด ละมุด เป็นต้น

อย่าปล่อยให้รู้สึกหิวเด็ดขาด ควรรับประทานอาหารว่างเป็นประจำทุกๆวันให้ได้เกินวันละ 2,000 Kcal งดรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หันมาออกกำลังกายให้มากยิ่งขึ้นเพราะมันจะทำให้คุณรับประทานเก่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นวิธีการเพิ่มน้ำหนักที่เห็นแน่นอน ที่สำคัญอย่างมากนั่นก็คือความสม่ำเสมอ ถ้าทำทุกวัน เห็นผลแน่นอน !!

เพิ่มเติมที่ : www.greenerald.com/ลดน้ำหนัก-ลดความอ้วน/วิธีเพิ่มน้ำหนัก

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิธีทำให้หน้าเรียว สวยเหมือนดาราคาเกาหลี !!




ปัญหากรามใหญ่ หน้าบานคงเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับใครๆหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เพราะมันทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราก็สามารถแก้ไขได้อย่างนอนหากทำอย่างถูกวิธีเพราะปัญหากรามใหญ่ หรือหน้าบานมันมีอยู่ด้วยกันสองสามสาเหตุ เราก็ต้องก่อนว่าสาหตุหลักๆ ที่ทำให้หน้าเราใหญ่นั้นคืออะไร

สาเหตุแรกที่กรามใหญ่อาจจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อบริเวณกรามถูกการใช้งานมาอย่างยาวนาน เช่น การเคี้ยวอาหารที่เคี้ยวยาๆ เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตวื ปลาหมึก หมากฝรั่ง เป็นต้น พอนานๆ เข้ากรามก็ใหญ่ขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว คุณเคยสังเกตไหมวาทำไมตอนเด็กๆฉันก็ไม่ได้หน้าบานหรือกรามใหญ่ แต่ทำไมพอโตมาแล้ว หน้ากลับกลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสไปซะได้

ถัดมาสาเหตุที่สองกรามใหญ่มาแต่กำเนิด หรือกระดูกขากรรไกรใหญ่มาตั้งแต่เด็ก และสาเหตุสุดท้ายที่ทำให้หน้าบวมสาเหตุก็อาจจะมาจากกรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นประจำ ทำให้ไขมันไปสะสมในบริเวณแก้มทำให้หน้ากลม เป็นต้น

สำหรับสาเหตุหลักๆที่กรามใหญ่นั้นก็คงหนีไม่พ้นพฤติกรรมการกินทำให้กล้ามเนื้อบริเวณโดยวิธีการรักษาที่เห็นผลและปลอดภัยก็คงหนีไม่พ้นการฉีดโบท็อกซ์ลดกรามซึ่งจะเห็นผลภายใน 2-3 อาทิตย์ โดยฤทธิ์ของยาจะอย่ได้ประมาณ 6-8 เดือนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลรักษา แต่ข้อเสียก็คือค่าใช้ง่ายที่ค่อนแพง และวิธีอื่นๆก็เช่นการร้อยไหมปรับหน้าเรียว ช่วยยกกระชับใบหน้า ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อยคล้อยรูปหน้าเรียวขึ้นมาได้เล็กน้อย

วิธีทำให้หน้าเรียว ด้วยการผ่าตัดกรามหรือการเหลาการ เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู็ที่มีกรามใหญ่หรือมีกระดูกขากรรไกรใหญ่มาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งการผ่าตัดก็จะมีอยู่ด้วย 2 วิธีซึ่งก็ได้แก่การผ่าตัดภายนอกช่องปากและภายในช่องปาก

วิธีสุดท้ายการฉีดแฟตแก้มหรือเมโสแก้ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีแก้มใหญ่หน้ากลมเพราะมีไขมันส่วนเกินในบริเวณแกม ซึ่งผลที่ได้อาจจะช้า และมีผลข้างเคียงมาก มีอาการเจ็บในตอนฉีด และมีรอยฟกช้ำบ้างหลังการฉีด สำหรับวิธีอื่นๆ ที่น่าสนใจก็ได้แก่ การฉีดฟิลเลอร์เสริมคางเพื่อทำให้รูปหน้าดูยาวขึ้นมีผลทำให้รูปหน้าดูเรียวขึ้น การทำ RF หรือ Radio Frequency ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณดูเรียบตึงขึ้นได้ เพราะช่วยขจัดเซลลูไลท์และไขมันที่สะสม รวมไปถึงการจัดฟัน การปรับแต่งทรงผมให้เข้ากับรูปหน้าตัวเองก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้รูปหน้าของเราเรียวเล็กขึ้นมาได้มาก

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/ลดน้ำหนัก-ลดความอ้วน/วิธีทำให้หน้าเรียว

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

วิตามินบี1 (ไทอะมีน) ประโยชน์ของวิตามินบี1 ที่น่าสนใจ !!



วิตามินบี1 (Vitamin B1) หรืออีกชื่อที่เรียกกันว่า ไทอะมีน โดยมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า วิตามินเสริมขวัญและกำลังใจ โดยจัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะเก็บสะสมไว้ได้ หากมีอยู่ในร่างกายปริมาณมากเกินไปก็จะถูกขับออกมา ดังนั้นวิตามินชนิดนี้จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับอยู่ทุกวัน โดยแหล่งอาหารที่พบวิตามินชนิดนี้ก็ได้แก่ ผักต่างๆ นม ไข่แดง ปลา เนื้อสัตว์ โฮลวีท ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง รำข้าว เปลือกข้าว บริเวอร์ยีสต์ เป็นต้น

วิตามินบีนั้นมีมากกว่า 10 สิบชนิดและแต่ละตัวก็จะทำงานส่งเสริมซึ่งกันและกัน การรับประทานร่วมกันนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทานแบบเดี่ยวๆ โดยคุณควรได้รับประทานวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 ในปริมาณเท่ากันจะมีประสิทธิภาพต่อร่างกายสูงสุด โดยปริมาณที่แนะนำให้รับประต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ก็คือประมาณวันละ 1 - 1.5 มิลลิกรัม และสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรรับประทานวันละประมาณ 1.5 - 1.6 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของวิตามินบี1 นั้นก็ได้แก่ช่วยรักษาโรคเหน็บชา ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยบำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยทำให้หัวใจทำงานเป็นปกติ มีส่วนช่วยบำรุงสมอง สติปัญหาให้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน ช่วยรักษาโรคงูสวัด ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวกหลังผ่าตัดทำฟัน และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกแป้งได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสหวานจัด ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ร่างกายจะต้องการวิตามินชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร คุณควรได้รับวิตามินชนิดนี้มากกว่าปกติ หรือผู้ที่รับประทานยาลดกรดในกระเพาะหลังอาหารเป็นประจำ หรือผู้ที่อยู่ในสภาวะเครียด เจ็บป่วย มีอาการบาดเจ็บหลังผ่าตัดคุณควรรับประทานวิตามินบี1 เพิ่มมากขึ้น

เพิ่มเติมที่ : www.greenerald.com/วิตามิน/วิตามินบี1

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

สิวเสี้ยน กับวิธีการกำจัดสิวเสี้ยนอย่างได้ผลและปลอดภัย 100%


สิวเสี้ยน โดยปกติแล้มักจะเกิดจากการสะสมตัวของไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง ซึ่งไปรวมตัวกันกับซากเซลล์ผิวที่ค้างอยู่ในรูขุมขนแล้วมารวมตัวกับแบคทีเรียหรือฝุ่นจนอุดตันที่รูขุมขน ในช่วงแรกอาจจะเป็นชนิดหัวขาว แต่ถ้าหากผ่านไปเรื่อยๆก็จะเปลี่ยนเป็นหัวดำ และผลเสียที่ตามมานั้นก็คืออาจจะทำให้รูขุมขนกว้างนั้นเอง โดยปกติแล้วสิวเสี้ยนจะมีมากตรงบริเวณปลายจมูก ข้างจมูก คาง แต่สำหรับบางคนอาจจะมีบริเวณไหล่ แขน รวมไปถึงหลังด้วย ซึ่งสิวเสี้ยนนี้ปกติแล้วเราจะพบได้ทุกเพศทุกวัย ซึงการรักษาสิวชนิดนี้โดยมากแล้วก็เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้นไม่ได้หายขาดแต่อย่างใด

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

1. การกดหรือการบีบ วิธีหนึ่งที่ช่วยกำจัดสิวเสี้ยนออกไปได้ แต่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างมาก การจะกดสิวเสี้ยนออกนั้นคุณทายาละลายสิวมาก่อนแล้วประมาณ 1 เดือน

2. ยาละลายสิวเสี้ยน และสารในกลุ่มกรดวิตามินเอ เรตินเอเป็นตัวช่วยละลายสิวใช้ทาตอนที่ผิวแห้ง โดยใช้ทาประมาณ 1 เดือนสิวเสี้ยนจะค่อยๆ หายไปเอง แต่หากหยุดทาก็จะกลับมาอีกเช่นเคย โดยอาจเกิดการแพ้ระคายเคืองต่อผิวแต่ถ้าถึงขั้นทำให้ผิวลอกแล้วคุณควรจะหยุดใช้

3. มาส์กหน้าแบบทั่วไป ด้วยไข่ขาวทาจมูกแล้วใช้สำลีแห้งๆ แปะลงที่ไข่ขาว แล้วทาไข่ขาวทับสำลีและแปะสำลีทับลงไปอีกที ปล่อยไว้จนแห้งแล้วจึงลอกออก แต่ข้อเสียคือหลังทำเสร็จหน้าจะมันมากยิ่งขึ้น

4. มาส์กลอกหน้า เช่น มาส์กหน้าทองคำ แค่ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วลอกออก ก็ได้ผลที่ดีเหมือนกันและไม่มีความเสี่ยงด้วย

5.แผ่นลอกสิวเสี้ยน ปิดทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วลอกออก แต่อาจจะทำให้เกิดสิวอักเสบตามมา

6. การแวกซ์ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น เปิดให้บริการตามร้านเสริมสวยหรือคลินิกทั่วไปหรืออาจหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ผิวอาจจะไหม้ได้และอาจจะเกิดการถลอกได้ หากทำไม่ถูกวิธี

7. การดูดสิวเสี้ยนด้วยเครื่องดูดสิวตามคลินิกต่างๆ

8. การขัดผิว ก็เป็นอีกวิธีครับ แต่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะอาจจะเกิดบาดแผลได้และเป็นการทำลายเซลล์ผิวโดยตรง แม้ว่าสิวเสี้ยนจะหลุดออกมาแต่ก็หลุดออกมาไม่หมด

9. เลเซอร์กำจัดสิวเสี้ยน จะได้ผลดีกับสิวเสี้ยนหัวดำที่เกิดจากไขมันผสมกับคราบไคลอุดตันในรูขุมขน แต่หากเป็นสิวเสี้ยนธรรมดาการทำเลเซอร์คงไม่ได้ผลมากนัก แนะนำให้ใช้ยาละลายสิวเสี้ยนจะดีกว่า

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/วิธีรักษาสิว-ฝ้า-กระ/วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

โทนเนอร์ (Toner) การเลือกโทนเนอร์ โทนเนอร์ยี่ห้อไหนดี? ที่ดีที่สุด !!


โทนเนอร์นั้นยังเป็นสิ่งที่ใครๆหลายคนต่างก็มองข้ามและยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร เพราะทำให้รู้ว่ามันดูยุ่งยากซับซ้อนเกินไป มีหลายขั้นตอนเกินไป ซึ่งจากผลสำรวจก็เป็นที่น่าตกใจว่าหลายๆคนไม่ได้ใช้โทนเนอร์ และยังไม่รู้ว่าโทนเนอร์นั้นมีความสำคัญและจำเป็นมากแค่ไหน ดังนั้นก่อนที่เราจะไปทราบว่าโทนเนอร์ยี่ห้อไหนดีนั้นเรามาลองดูกันก่อนว่าโทนเนอร์นั้นมันคืออะไร แล้วมันมีหน้าที่อะไร และมันใช้กันแบบไหน?

โทนเนอร์ จริงๆแล้วแปลว่าการปรับสภาพผิว โดยเป็ฯตัวช่วยในการปรับผิวก่อนทาครีมบำรุงต่างๆ มันจึงเป็นเสมือนใบเบิกทางความชุ่มชื้นให้แก่ผิวของเรา และหน้าที่สำคัญอีกอย่างของโทนเนอร์ที่ใครๆหลายคนอาจจะไม่รู้นั้นก็คือโทนเนอร์จะช่วยให้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงที่เราทาเข้าไปนั้นดูดซึมเข้าสู่ใต้ผิวได้ดีมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังช่วยในปรับสภาพผิวเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหลังการล้างหน้า ช่วยลดความมันบนใบหน้าของเรา มีส่วนช่วยให้รูขุมขนดูกระชับขึ้นหากใช้เป็นประจำ และยังช่วยรักษาความสมดุลบนผิวหน้าของเราอีกด้วย

โทนเนอร์นั้นปกติแล้วเราจะใช้ในขั้นตอนสุดท้ายหลังการล้างหน้า โดยหน้าที่หลักของโทนเนอร์ก็คือการช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกใต้ผิวเพื่อให้แน่ใจว่าผิวหน้าของเราสะอาดและปราศจากสิ่งสกปรกแล้วจริงๆ และสิ่งที่ควรต้องรู้เกี่ยวกับโทนเนอร์ก็ได้แก่
1.โทนเนอร์ไม่ใช่ครีมบำรุงผิว ดังนั้นไม่ควรคิดว่าจะใช้มันแทนครีมบำรุงผิว
2.ถ้าหากคุณมีสิวก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
3.ถ้าคุณอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้โทนเนอร์ก็ได้
4.โทนเนอร์ไม่ใช่ตัวทำความสะอาดผิวซะทีเดียว เพียงแต่มันจะช่วยทำความสะอาดเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
5.เมื่อทาโทนเนอร์แล้วควรทาเครื่องสำอางทับลงทันทีหรือจะทาหลังจากนั้น 1-2 นาทีก็ได้
6.โทนเนอร์ที่คุณควรเลือกมาใช้ไม่ควรจะมีกรดมากเกินไป
7.โทนเนอร์เป็นตัวช่วยทำให้เครื่องสำอางของคุณติดได้ทนนานยิ่งขึ้น

การเลือกใช้โทนเนอร์ให้เหมาะกับผิวหน้า โดยปกติแล้วโทนเนอร์นั้นจะมีอยู่ 2 ประเภท ซึ่งได้แก่ โทนเนอร์บำรุงผิว กับโทนเนอร์กำจัดสิ่งสกปรก ถ้าคุณเป็นคนผิวธรรมดาจนถึงมัน ก็ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกและความัน แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งก็ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นต้น

โทนเนอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด?
ต้องบอกไว้เลยว่าไม่มีโทนเนอร์ยี่ห้อไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลือกซื้อควรเช็คสภาพผิวให้เรียบร้อยและให้แน่ใจเสียก่อนว่าคุณเป็นคนผิวแห้งหรือผิวมัน  เป็นสิวหรือไม่ หรือเป็นคนที่ผิวแพ้ง่ายหรือเปล่า และควรเลือกใช้โทนเนอร์ประเภทไหน ซึ่งยี่ห้อที่ขายดีในไทยเรานั้นหลักๆก็จะมีของ Neutrogena,SK-II,GARNIER ,Skinfood เป็นต้น ลองถามพนักงานดูครับ

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/เครื่องสำอาง/โทนเนอร์ยี่ห้อไหนดี-โทนเนอร์ที่ดีที่สุด

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี คือครีมกันแดดที่ดีที่สุดสำหรับ อ่านเลย !!


ครีมกันแดด ในปัจจุบันนั้นมีมากมายหลายยี่ห้อจึงเป็นการยากมากที่จะเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวของเราหรือซื้อมาใช้แล้วถูกใจ ถ้าถามว่าครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี มันคงเป็นคำถามที่ตอบยากแน่ๆ ซึ่งสิ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจอย่างแรกนั้นก็คือสภาพผิวแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เช่น คนยุโรปกับคนเอเชีย คนผิวคล้ำกับผิวขาว คนผิวแห้งกับคนผิวมัน รวมไปถึงคนที่ผิวแพ้ง่ายมากๆ ใช้อะไรก็แพ้ไปหมด ซึ่งการที่จะเอาความคิดเห็นของคนอื่นมาประกอบการตัดสินใจนั้นคงยังไม่เพียงพอต่อกันตัดสินใจแน่นอน ดังนั้นเรมาทำความรู้จักครีมกันแดดกันก่อนดีกว่า

ครีมกันแดดมี 3 ประเภท ดังนี้
1.Chemical Sunscreen มีส่วนผสมของสารเคมี ป้องกันแสงแดดด้วยการดูดซับรังสีแสงแดดเข้าไว้ในผิว เมื่อโดนแดดสักพักสารเคมีเหล่านี้ก็เสื่อมสภาพลง
2.Physical Sunscreen จะมีสารที่สามารถสะท้อนรังสี UVA และรังสี UVB ได้ และมีผลระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่าสารในกลุ่มแรก
3.Chemical-Physical Sunscreen รูปแบบผสม นั่นก็คือ ลดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ช่วยลดความขาวเมื่อทาครีมและเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดเพิ่มมากขึ้น

สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนการเลือกซื้อครีมกันแดด
1.ไม่มีครีมกันแดดที่เมื่อทาแล้วจะสามารถป้องกันแสงแดดได้ตลอดทั้งวัน และไม่มีครีมกันแดดชนิดไหนที่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100% (ควรทาซ้ำทุกๆ 3 ชั่วโมง)
2.เมื่ออยู่ในบ้านหรืออยู่ในร่มก็ตาม คุณก็ต้องททาครัมกันแดด
3.ครีมกันแดดที่ผสมในแป้งรองพื้น ก็ต้องทาซ้ำเหมือนครีมกันแดดทาผิวทั่วไป
4.ตอนเย็นแดดอ่อนๆ ก็ไม่ควรประมาทต้องทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอด้วย
5.ความจริงของค่า SPF ก็คือการป้องกันจะสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึง SPF30 เมื่อเลยจุดดนี้อัตราการป้องกันก็จะขึ้นอย่างเอื่อยๆ แนะนำว่า SPF30 กำลังดีเน้นทาบ่อยๆจะดีกว่า แถมไม่เหนียวเหนอะก่อให้เกิดสิวอุดตันอีกด้วย
6.ความจริงก็คือกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆมักจะมีส่วนผสมของน้ำมันมาก อาจทำให้เหนียวเหนอะหนะและเป็นสิวได้
7.ครีมกันแดดนั้นไม่ต้องรอให้โตแล้วค่อยใช้ ควรใช้ตั้งแต่เด็กๆเลยจะดีมาก
8.รังสี UVA และรังสี UVB จะมีมากที่สุดในช่วง 10 โมงเช้าถึงบ่ายสาม ช่วงนี้ไม่จำเป็นก็อย่าออกไปไหน (ถ้าเป็นไปได้นะ)

วิธีการเลือกใช้ครีมกันแดดตามสถานการณ์อย่างเหมาะสม
1.ถ้าไม่ได้ไปไหนหรือทำงานอยู่ในอาคาร ออฟฟิส ไม่โดแสงแดดก็ควรจะทาครีมกันแดดสัก SPF15 กำลังดี
2.ผู็ที่เป็นต้องเดินนอกสถานที่ เจอแสงแดดบ่อยๆก็ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15-30
3.สำหรับผู้ที่ทำงานกลางแจ้งหรือเที่ยวทะเล ก็ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไปจะเหมาะสม และควรทาอย่างสม่ำเสมอ

แล้วครีมกันแดดยี่ห้อไหนมันดี?
ก็ขอตอบเลยว่าคือครีมกันแดดที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา และใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์นั่นเอง ไม่ใช่อยู่บ้านแล้วทาครีมกันแดด SPF50 หรือไปที่ยวกลางแจ้งแต่กลับใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปนั่นเอง การเลือกซื้อต้องดูจากส่วนผสมเป็นปลัก ดูสภาพผิวของเราเป็นที่ตั้ง ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณามาก เพราะไม่มีครีมกันแดดยี่ห้อไหนจะดีที่สุดสำหรับทุกคน

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/เครื่องสำอาง/ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี-ครีมกันแดดที่ดีที่สุด

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

วิตามินเอ (Vitamin A) ประโยชน์และโทษของวิตามินเอที่ควรรู้ !!


วิตามินเอ (Vitamin A) จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เพราะต้องใช้ไขมันและแร่ธาตุมาช่วยในการดูดซึมเจ้าสู่ร่างกาย ปกติแล้วร่างกายของคนเรานั้นจะเก็บสะสมวิตามินเอได้อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารเสริมทดแทนแต่อย่างใด โดยวิตามินเอนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ วิตามินเอแบบสำเร็จที่เรามักเรียกกันว่า เรตินอล ซึ่งจะพบมากในอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ และอีกชนิดหนึ่งก็ได้แก่ โปรวิตามินเอหรือแคโรทีน ซึ่งชนิดนี้เราจะพบได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยวิตามินเอนั้นโดยปกติแล้วจะมีหน่วยวัดปริมาณเป็น IU ซึ่งเป็นหน่วยวัดที่นิยมใช้กันมากที่สุด

การรับประทานวิตามินเอนั้นในปริมาณ 5,000 IU ต่อวันถือเป็นขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน เนื่องจากยังไม่ได้รับการจัดเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็ฯต่อร่างกายอย่างเป็นทางการ และโดยทั่วไปแล้ววิตามินเอแบบเบต้าแคโรทีนในขนาดประมาณ 10,000-15,000 IU นั้นถือเป็นขนาดที่เพียงพอแล้วและเทียบเท่ากับขนาดที่แนะนำ ซึ่งวิตามินเอที่จะแนะนำให้รับประทานนั้นก็คือในรูปของเบต้าแคโรทีน เพราะไม่มีความเสี่ยงจากการรับประทานสะสมเหมือนวิตามินเอ แถมเบต้าแคโรทีนนั้นก็ช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่เป็ฯตันตรายต่อร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

โดยแหล่งอาหารที่พบวิตามินเอนั้นก็ได้แก่ ตับ น้ำมันตับปลา ผักสีเหลืองและเขียวเข้ม แครอท ผักตำลึง คะน้า ชะอม กระถิน ผักโขม ฟักทอง บรอกโคลี แคนตาลูบ มะม่วงสุก แตงกวา ผักกาดขาว มะละกอสุก ไข่ นม มาร์การีน เป็นต้น ซึ่งโทษของวิตามินเอหากรับประทานในปริมาณมากนั้นก็ได้แก่มีอาการ เช่น ปวดกระดูก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ประจำเดือนมาไม่ปกติ ผมร่วง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผิวลอก ผมร่วง ตามัว ผดผื่น อาการตับบวมโต เป็นต้น ซึ่งจะอันตรายอย่างมากหากคุณรับประทานในปริมาณ 50,000 IU ติดต่อกันเป็นเวลานาน และหญิงตั้งครรภ์ห้ามรับประทานวิตามินเอเสริมอาหารเด็ดขาดเพราะอาจจะทำให้แท้งบุตรได้

ประโยชน์ของวิตามินเอ ก็ได้แก่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ผิวพรรณ ผม ฟัน เหงือก และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ช่วยรักษาโรคตาได้หลายโรค สร้างภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจ หากใช้ทาบริเวณผิวหนังจะช่วยรักษาสิวได้ ลดริ้วรอยตื้นๆ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ลดจุดด่างดำ รอยแผลเป็น รอยแผลสิวที่ผิวหนังได้ดี รักษาโรคถุงลมโป่งพองและไทรอยด์เป็นพิษได้ และยังช่วยรักษาโรคผิวหนังชนิดเป็นตุ่มพุพองที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ฝี ชันนะตุ และแผลเปิดต่างๆ เป็นต้น

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/วิตามิน/วิตามินเอ

วิตามินอี (Vitamin E) ประโยชน์ของวิตามินอี แหล่งอาหารที่พบของวิตามินอี !



วิตามินอี (Vitamin E ) จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งถูกเก็บสะสมไว้ในตับ เนื่อเยื่อไขมัน เลือด หัวใจ กล้ามเนื้อ มดลูก อัณฑะ ต่อมใต้สมอง และต่อมหมวกใต โดยมีหน่วยวัดเป็น IU โดยวิตามินอีนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มซึ่งก็ได้แก่ โทโคฟีรอลและโทโคไทรอีนอล ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวนี้จะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบซึ่งได้แก่ แอลฟา บีตา แกมมา และเดลตา ซึ่งขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่นั้นอยู่ที่ประมาณ 8-10 IU โดยปริมาณร้อยละ 70% ของขนาดที่แนะนำให้รับประทานั้นจะถูกขับออกทางอุจจาระเป็นส่วนใหญ่

วิตามิอีนั้นจะแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมันชนิดอื่นๆ เพราะร่างกายจะเก็บสะสมไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นคล้ายๆกับวิตามินบีและวิตามินซี โดยหน้าที่สำคัญของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่มีความสำคัญออกฤทธิ์เป็นยาขยายหลอดลมและเป็ฯยาช่วยต้านการแข็งตัวของเลือก สำหรับการรับประทานวิตามินอีเสริมอาหารนั้นควรมีส่วนผสมของซีลีเนียมประมาณ 25 ไมโครกรีมต่อวิตามินอี 200 IU ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของวิตามินอีทำงานได้เป็นอย่างดี

แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ จมูกข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลโฮลเกรน แป้งทำขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง น้ำมันพืชต่างๆ เมล็ดมะม่วงหิมพาน เมล็ดทานตะวัน กะหล่ำต่างๆ พิชผักใบเขียว ส่วนเนื้อของอะโวคาโด และปวยเล้ง เป็นต้น โดยศัตรูของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ ความร้อน ออกซิเจน กระบวนการแปรรูปอาหาร ธาตุเหล็ก คลอรีน อุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เป็นต้น

ประโยชน์ของวิตามินอีนั้นก็ได้แก่ ช่วยในการชะลอวัยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ช่วยปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศ ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับวิตามินเอ เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคให้เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ช่วยป้องกันและสลายลิ่มเลือด ช่วยลดโอกาศเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ป้องกันแผลเป็นหนานูน ทั้งภายนอดและภายใน เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วยิ่งขึ้น ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์ อัมพาต และลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ได้

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/วิตามิน/วิตามินอี

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

สิวอักเสบ และวิธีการรักษาสิวอักเสบอย่างได้ผล และปลอดภัย 100%


สิวอักเสบ หรือสิวหัวหนอง โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนๆ บวมแดง แต่ถ้าเป็นเม็ดใหญ่มากๆเราจะเรียกว่าสิวหัวช้าง ซึ่งสาเหตุการเกิดสิวอักเสบนั้นโดยปกติแล้วมักจะเกิด
จากสิวอุดตันที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อแบคทีเรียก็ไปกระตุ้นสิวอุดตันทำให้เกิดการอักเสบ สำหรับสาเหตุหลักๆที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียนั้นก็ได้แก่การที่เราชอบไปแกะ
ไปเกาหรือไปบีบนั่นเอง และอีกสาเหตุสำคัญที่เกิดการอักเสบก็ได้แก่ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ก็ทำให้เกิดสิวอักเสบได้เช่นกัน ซึ่งสิวชนิดนี้เรามักจะพบได้ในบริเวณหน้าผาก
แก้ม แผ่นหลังและลำคอ

หากคุณมีสิวอักเสบสิ่งสำคัญอย่างแรกที่คุณต้องรู้ก็คือห้ามไปบีบเพราะอาจจะทำให้เกิดแผลและเป็นรอยดำตามมาได้ ซึ่งจะใช้เวลานานมากกว่าจะหาย แถมปัญหาใหญ่ที่เรามัก
พบเจอได้บ่อยๆนั่นก็คือหลุมสิว หน้าขรุขระ ซึ่งการรักษาหลุมสิวนี้จะรักษายากมากๆและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนานพอสมควร สำหรับวิธีการรักษาสิวอักเสบนั่น
ก็คือการรักษาความสะอาดด้วยการล้างหน้าอย่างถูกวิธี การพักผ่อนให้เต็มที่ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นต้น

วิธีรักษาสิวอักเสบ ที่เรารู้จักกันมากนั้นก็คือการใช้เจลหรือครีมแต้มสิวยุบ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สำคัญสำหรับผู้ที่กลัวเข็มฉีดยา ราคาก็ไม่แพงมากเมื่อทาแล้วประมาณ 1-2 วัน
ยุบ และอีกวิธีหนึ่งก็คือการฉีดสิวยุบตามคลินิกหรือโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีการที่เห็นผลรวดเร็วภายใน 1-2 วันเหมือนกัน แต่ทั้งนี้คุณควรเลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ไว้ใจได้เท่านั้น เพราะการฉีดยาอย่างไม่ถูกวิธีหรือมีปริมาณมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดรอยบุ๋มเมื่อสิวหายได้ โดยปกติแล้วหลังฉีด 2 ยุบถือว่าปลอดภัยที่สุด ถ้าเร็วเกินไปไม่เกิน 24 ชั่วโมงหายจะเสี่ยงต่อรอยบุ๋มมาก

เพิ่มเติม : www.greenerald.com/วิธีรักษาสิว-ฝ้า-กระ/วิธีรักษาสิวอักเสบ

วิธีทำให้รักแร้ขาวขึ้นอย่างแน่นอน และปลอดภัยต่อรักแร้ของคุณ !!



เป็นเรื่องปกติมากที่บริเวณใต้วงแขนของเราจะมีสีผิวที่คล้ำกว่าสีผิวบริเวณอื่นๆ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าผิวบริเวณนี้เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะบอบบางมากจึงทำให้เกิดรอยย่นต่างๆได้ง่ายมาก และยังรวมไปถึงบริเวณคอและขาหนีบอีกด้วย เมื่อมีรอยย่นการเสียดสีก็ย่อมเกิดขึ้นทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นดำคล้ำกว่าสีผิวส่วนอื่นๆมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอ้วนก็จะเจอปัญหาเหล่านี้แทบทุกราย สำหรับวันนี้เรามาดูวิธีทำให้รักแร่ขาวกันดีกว่าว่ามีวิธีทำอย่างไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าคุณเองก็สามารถทำเองได้อย่างแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีทำให้ผมยาวเร็ว วิธีเร่งผมยาวสารพัดวิธีที่เห็นและปลอดภัย !!



วันนี้เรามีวิธีวิธีทำให้ผมยาวเร็วสำหรับสาวๆ ใจร้อนมาฝากกัน มาเริ่มกันเลย วิธีแรกเริ่มด้วยการสระผมวันเว้นวัน ซึ่งในระหว่างที่คุณกำลังสระผมให้นวดเส้นผมและหนังศีรษะไปด้วยโดยใช้นิ้วของมือของคุณกดและนวดไปตามจุดต่างๆบนศีรษะอย่างน้อยประมาณ 3 นาที และในขณะที่คุณสระผมให้ก้มศีรษะลงด้วยก็จะดีมาก ซึ่งก็เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดีมีผลทำให้เส้นผมเจริญเติบโตได้ดีมากขึ้น เมื่อสระผมเสร็จแล้วให้คุณค่อยๆเช็ดผมให้หมาดๆ และห้ามขยี้เส้นผมหรือเป่าผมเด็ดขาด

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีเพิ่มความสูงง่ายๆด้วยตัวคุณเอง ทำอย่างสม่ำเสมอเห็นผลแน่นอน !!



ในปัจจุบันสาวๆหนุ่มๆ รวมไปถึงวัยรุ่นต่างๆหลายๆคนต่างก็พบเจอกับปัญหาเรื่องความสูง ไม่ว่าจะมองไปไหนก็เจอแต่คนรอบข้างหรือเพื่อนที่ตัวสูงกว่า สาวที่กำลังตามจีบอยู่เธอก็ดันมาสูงกว่าเหล่าซะนี้ ทำให้ความมั่นใจหดหายไปแทบเป็นศูนย์ หรืออยากเป็นแอร์โฮสเสตสหรือสจ๊วตแต่ความสูงไม่ผ่านเกณฑ์ อยากเป็นนายแบบหรือนางแบบแต่ตัวยังไม่สูงได้เท่าที่ต้องการ จะทำอย่างไรดีเมื่อเราเจอปัญหาแบบนี้ วันนี้เราจึงมีวิธีเพิ่มความสูงแบบเห็นผลชัวร์ๆมาฝากกัน